ใครจะคาดคิดว่า “ภาพถ่ายขาวดำ” ที่เริ่มต้นจากงานศิลปะเพื่อบันทึกเงาและแสง จะสามารถนำพา “เสียงแรก” เข้าสู่โลกของเด็กหูหนวกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เรื่องราวนี้ได้เกิดขึ้นจริงบนเวที When pictures speak volumes ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งพาผู้เข้าร่วมสำรวจบทบาทของภาพถ่ายในฐานะสื่อกลางที่ถ่ายทอดทั้งความทรงจำ ศิลปะ และความหวังทางสังคม
เรื่องราวดังกล่าวมาจากผลงานของ ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ กรรมการอิสระ Amarin Group และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ต่อยอดภาพถ่ายขาวดำของตนเองให้กลายเป็นเครื่องมือแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยร่วมกับ คุณศุขสนั่น โชติกเสถียร ประธานกรรมการมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์ ผู้ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พิการทางการได้ยิน
รายได้ที่เกิดจากการประมูลและการจำหน่ายภาพถ่ายซึ่งผ่านการแต่งแต้มสีสันโดยศิลปินชื่อดัง ถูกนำไปเปลี่ยนเป็นทุนสนับสนุนสำหรับการผ่าตัดประสาทหูเทียม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึงข้างละ 500,000 บาท เป้าหมายคือการมอบโอกาสให้เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินได้รับการรักษาในช่วงเวลาสำคัญของพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสาร
จากภาพเงาและแสงในขาวดำ สู่ความเงียบที่แปรเปลี่ยนเป็นเสียง และจากเสียงสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวังนี่คือบทพิสูจน์ว่า ภาพหนึ่งภาพไม่ได้มีค่าเพียงความงามทางสายตา หากยังสามารถเปลี่ยนชะตาของใครบางคนได้จริง
ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ กรรมการอิสระ Amarin Group และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงเส้นทางที่ทำให้การถ่ายภาพกลายมาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตว่า จุดเริ่มต้นมาจากกล้องฟิล์มที่ได้รับเป็นมรดกจากคุณพ่อ กล้องเครื่องนั้นไม่เพียงเป็นของใช้ทั่วไป แต่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจที่พาดร. นันทวัฒน์ เข้าสู่โลกของการบันทึกภาพและความทรงจำตั้งแต่วัยเยาว์
เมื่อมีโอกาสไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ กล้องถ่ายภาพก็ยังคงตามไปด้วย และบังเอิญได้พักหอร่วมกับเพื่อนชาวอินโดนีเซียที่คลั่งไคล้การถ่ายภาพ ทำให้วันหยุดมักใช้เวลาเดินตลาดของเก่า ค้นหากล้องและอุปกรณ์มาใช้ แม้ชีวิตนักเรียนต่างแดนจะต้องประหยัด แต่ก็ยังเก็บหอมรอมริบซื้อเครื่องฉายสไลด์ ถ่ายภาพสไลด์อัดเป็นกรอบมาดู ภาพถ่ายเหล่านี้บันทึกทั้งการเดินทาง ช่วงเวลาแห่งความรัก และความทรงจำที่มีค่า
เส้นทางการทำงานต่อมาก็ยังมีภาพถ่ายอยู่เคียงข้างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในฐานะข้าราชการ กรรมการรัฐวิสาหกิจ หรือการเดินทางไปต่างประเทศ ภาพถ่ายทำหน้าที่เก็บรายละเอียดชีวิตอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อเวลาผ่านไป ได้มีโอกาสซื้อ “กล้องในฝัน” ที่เคยเฝ้ารอมานาน ทำให้การถ่ายภาพเริ่มชัดเจนขึ้นในฐานะงานที่มีความหมายมากกว่างานอดิเรก
ที่น่าสนใจคือ ดร. นันทวัฒน์ ชื่นชอบภาพขาวดำมากกว่าสี ส่วนหนึ่งเพราะความทรงจำในวัยเด็กที่บ้านมีช่างภาพมาบันทึกงานสังสรรค์ต่าง ๆ ทำให้ภาพครอบครัวเกือบทั้งหมดเป็นโทนขาวดำ กล้องรุ่นที่ดร. นันทวัฒน์เลือกใช้ก็ถ่ายได้เฉพาะขาวดำ จึงยิ่งตอกย้ำความผูกพันกับสไตล์นี้
แม้จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น ครั้งหนึ่งที่ได้ไปชมผลงานของโมเนต์แต่สามารถบันทึกภาพกลับมาได้เพียงในโทนโมโนโครมเรียบ ๆ ดร. นันทวัฒน์ก็ยังคงหลงใหลในเสน่ห์และความงดงามของภาพขาวดำไม่เสื่อมคลาย การถ่ายภาพจึงค่อย ๆ พัฒนาและก้าวข้ามจากงานอดิเรก สู่การเป็นพื้นที่เก็บรักษาความทรงจำ ก่อนจะต่อยอดไปสู่การจัดนิทรรศการที่เปิดเผยอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตนอกเหนือจากเส้นทางสายกฎหมาย และในเวลาต่อมาก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นงานศิลปะที่มีพลัง ช่วยนำ “เสียงแรก” มาสู่ชีวิตของผู้พิการทางการได้ยิน
สำหรับจุดเริ่มต้นในการนำภาพถ่ายมาแปรเปลี่ยนเป็นงานศิลปะ ดร.นันทวัฒน์ เล่าว่าเกิดขึ้นหลังดร. นันทวัฒน์ตัดสินใจเกษียณอายุก่อนกำหนด เพราะรู้สึกว่าได้ทำหน้าที่สอนไว้อย่างเต็มที่แล้ว โดยในช่วงมีการระบาดของโควิด-19 ทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่สามารถสอนหรือประชุมได้เหมือนเดิม ดร. นันทวัฒน์จึงกลับไปหยิบรูปถ่ายที่ถ่ายสะสมไว้มานั่งคัดแยกเป็นหมวดหมู่ และตัดสินใจทำเป็นหนังสือภาพถ่ายในชื่อ “ความทรงจำดำขาวของนันทวัฒน์” โดยออกทุนส่วนตัวพิมพ์กับสำนักพิมพ์อมรินทร์ ก่อนจะแจกจ่ายให้เพื่อน ๆ ซึ่งต่อมาก็ได้รับคำแนะนำให้นำผลงานไปจัดเป็นนิทรรศการ
การแสดงงานครั้งแรกเกิดขึ้นที่ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือ Thailand Creative & Design Center (TCDC) ณ ไปรษณีย์กลาง ซึ่งดร. นันทวัฒน์เคยมีโอกาสทำงานร่วมในฐานะกรรมการองค์การมหาชนเดิมอยู่แล้ว การจัดงานครั้งนั้นมีเป้าหมายเรียบง่ายเพียงแค่ให้ผู้คนได้ชมภาพ และนำรายได้จากการขายผลงานไปบริจาคให้กับมูลนิธิเพื่อคนตาบอด และนั่นทำให้งานถ่ายภาพซึ่งเริ่มต้นจากงานอดิเรกค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นพื้นที่แห่งการทำบุญช่วยเหลือสังคม โดยครั้งแรกสามารถระดมได้ราว 7 แสนบาท
จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นในวันสุดท้ายของนิทรรศการเพื่อคนตาบอด เมื่อ ดร.มลิวัลย์ ธรรมแสง เลขาธิการมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ในพระบรมราชินูปถัมภ์ พาเด็กหูหนวกมาชมงานและร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ ดร.นันทวัฒน์ มองเห็นความจำเป็นเร่งด่วนของการผ่าตัดประสาทหูเทียม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึงข้างละ 500,000 บาท และต้องทำตั้งแต่วัยเยาว์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ดร. นันทวัฒน์ตระหนักว่ารายได้จากการจำหน่ายภาพถ่ายเพียงไม่กี่สิบชิ้นไม่อาจครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว จึงเริ่มมองหาหนทางใหม่ในการเพิ่มมูลค่าผลงาน แนวคิดเรื่องการทำงานร่วมกันแบบ collaboration ของแบรนด์แฟชั่นและศิลปินระดับโลกได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ นำไปสู่การริเริ่มโครงการสร้างสรรค์ ที่นำภาพถ่ายขาวดำของตนมาผสมผสานกับผลงานจากศิลปินแขนงต่าง ๆ เพื่อขยายพลังของศิลปะให้ก้าวข้ามกรอบเดิม
โครงการ collaboration นี้นำไปสู่ผลงานหลากหลาย ตั้งแต่การวาดลวดลายลงบนภาพถ่าย ไปจนถึงการผสมผสานเทคนิคสีน้ำมันที่ละเอียดอ่อน และที่สำคัญยังได้รับพระราชทานฝีพระหัตถ์จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีในหลายผลงาน ทำให้ภาพถ่ายธรรมดากลายเป็นงานศิลปะล้ำค่า ภาพฝีพระหัตถ์เพียงสองชิ้นสามารถสร้างรายได้จากการประมูลมากกว่าสองล้านบาท และเมื่อนำไปจัดประมูลรวมกับผลงานศิลปินท่านอื่น ๆ ทั้งรุ่นใหญ่ เช่น ศาสตราจารย์ ถาวร โกอุดมวิทย์ อาจารย์พันธุ์ศักดิ์ รวมถึงศิลปินรุ่นใหม่อีกหลายคน ก็สามารถสร้างรายได้มหาศาล ในบางครั้งยอดการประมูลรวมแตะระดับ 11 ล้านบาท และครั้งล่าสุดสูงถึง 16 ล้านบาท
ศิลปินที่เข้ามามีส่วนร่วมต่างใช้เทคนิคเฉพาะตัว เช่น การวาดดอกไม้เสริมลงบนภาพสถาปัตยกรรม การแต้มสีเป็นภาพพิมพ์จักรวาลให้ระยิบระยับบนภาพเมือง หรือการเพิ่มตัวละครและสัตว์เล็ก ๆ ที่ทำให้ภาพขาวดำดูมีชีวิตชีวา ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงเพิ่มมูลค่าเชิงศิลปะ แต่ยังสะท้อนความร่วมมือของหลายฝ่ายที่ตั้งใจช่วยเหลือเด็กหูหนวกโดยตรง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นิทรรศการและการประมูลผลงานได้ระดมเงินช่วยเหลือเด็กพิการทางการได้ยินไปแล้วประมาณ 31 ล้านบาท โดยไม่หักค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว เนื่องจากสถานที่จัดงานและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรและผู้มีจิตศรัทธา ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการพิมพ์และทำกรอบภาพถ่าย ดร. นันทวัฒน์ก็ลงแรงและขอความช่วยเหลือจากเพื่อนฝูง รายได้ทั้งหมดจึงถูกส่งตรงไปยังมูลนิธิและเด็ก ๆ ผู้ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง
จากก้าวแรกที่เริ่มต้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 งานภาพถ่ายขาวดำของ ศ.ดร.นันทวัฒน์ ได้เติบโตจนกลายเป็นสะพานเชื่อมให้เด็กหูหนวกจำนวนมากมีโอกาสได้ยิน “เสียงแรก” ของชีวิต พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ศิลปะทำหน้าที่เกินกว่าการสะท้อนความงาม แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างโอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนอย่างจับต้องได้จริง
ในอนาคต ดร.นันทวัฒน์ กล่าวว่าตนยังวางแผนที่จะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อถ่ายภาพเพื่อนำมาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะต่อเนื่อง ควบคู่กับการขยายตลาดให้กว้างขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการระดมทุนและสร้างรายได้มากยิ่งกว่าเดิม
สำหรับความจำเป็นในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดประสาทหู คุณศุขสนั่น โชติกเสถียร ประธานกรรมการมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ในแต่ละปีมีเด็กไทยเกิดใหม่ราวห้าแสนคน และประมาณเก้าร้อยคนจากจำนวนนั้นมีปัญหาการได้ยิน โดยกว่า 300 คนเป็นผู้หูหนวกสนิท ตัวเลขดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำทุกปีและเป็นโจทย์สำคัญต่อสังคมไทย มูลนิธิฯ จึงทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสให้เด็กเหล่านี้ได้มีสิทธิใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติ
กว่า 70 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯ เป็นผู้บุกเบิกงานด้านคนหูหนวกในประเทศ ตั้งแต่การสร้างภาษามือไทย การทำแบบเรียนและสื่อการสอน การฝึกครูผู้สอน ไปจนถึงการวางรากฐานด้านการศึกษาและสุขภาพ ก่อนที่ภาครัฐจะเข้ามารับช่วงต่อในหลายด้าน หนึ่งในความก้าวหน้าสำคัญที่สุดคือเทคโนโลยีประสาทหูเทียม ซึ่งทำให้ผู้หูหนวกสนิทสามารถได้ยินอีกครั้ง มูลนิธิฯ เริ่มสนับสนุนการผ่าตัดมาตั้งแต่ปี 2547 และจนถึงปัจจุบันได้ช่วยเหลือเกือบ 190 ราย แม้ค่าใช้จ่ายต่อการผ่าตัดหนึ่งข้างยังสูงถึง 500,000 บาท แต่ถือว่าต่ำกว่างบประมาณที่ภาครัฐจัดไว้ข้างละกว่า 850,000 บาท เนื่องจากมูลนิธิได้รับความร่วมมือจากบริษัทผู้ผลิตในออสเตรเลียให้ราคาพิเศษ
คุณศุขสนั่น อธิบายว่าอุปกรณ์ประสาทหูเทียมมีลักษณะซับซ้อน โดยมีอิเล็กโทรดฝังเข้าไปในหูชั้นใน เชื่อมต่อกับเส้นประสาทหู และมีแผ่นแม่เหล็กฝังไว้ในกะโหลกเพื่อเชื่อมกับเครื่องรับสัญญาณภายนอกซึ่งคล้ายเครื่องช่วยฟังรุ่นใหม่ เมื่อเทคโนโลยีพัฒนา รุ่นเก่าก็จะตกรุ่นและต้องบำรุงรักษาเพิ่มเติม แต่สิ่งสำคัญคืออุปกรณ์นี้สามารถอยู่กับผู้ป่วยได้ตลอดชีวิต ทำให้เด็กที่เคยไม่เคยได้ยินมีโอกาสเรียนรู้เสียงและใช้ชีวิตใกล้เคียงคนปกติ
สำหรับวิธีการคัดเลือกผู้ได้รับทุนในการผ่าตัดประสาทหู คุณศุขสนั่นระบุว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการผ่าตัดคือก่อนอายุสองขวบ เพราะสมองยังสามารถพัฒนาได้เต็มที่ เด็กบางคนได้รับการผ่าตัดตั้งแต่อายุเพียงแปดถึงเก้าเดือนและได้ผลดี แต่หากเกินกว่านั้นประสิทธิภาพการฟื้นฟูจะลดลง เนื่องจากสมองส่วนที่ควบคุมการฟังจะเปลี่ยนไปทำหน้าที่อื่น นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยกลุ่มที่หูดับฉับพลันในวัยเรียนจากอุบัติเหตุหรือโรค แม้ผลลัพธ์จะไม่สมบูรณ์เหมือนเด็กเล็ก แต่มูลนิธิก็ยังพยายามช่วยเหลือ
คุณศุขสนั่นยังกล่าวถึงข้อจำกัดสำคัญคือภาครัฐเพิ่งเริ่มจัดสรรงบประมาณเมื่อสองปีก่อน แต่ยังเผชิญปัญหางบไม่เพียงพอและบุคลากรเฉพาะทางจำกัด ทำให้หลายครอบครัวต้องรอคิวหรือเข้าไม่ถึงการรักษา มูลนิธิจึงเข้ามาทำหน้าที่เสริม เช่น ในกรณีเด็กที่หูหนวกและตาบอดพร้อมกัน ซึ่งไม่อยู่ในเกณฑ์ความช่วยเหลือของรัฐ แต่ทางมูลนิธิยังให้การสนับสนุนเพราะเชื่อว่าการมีประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมดีกว่าไม่มีเลย
นอกจากการผ่าตัด มูลนิธิยังเน้นการฟื้นฟูหลังเปิดเสียงซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ โดยคุณศุขสนั่นอธิบายว่า วันที่เปิดเสียงให้ผู้ป่วยครั้งแรกเสมือนวันแรกที่ทารกออกจากครรภ์ ต้องใช้เวลาอีกสองปีเต็มกว่าจะเรียนรู้และพูดได้ ครอบครัวจึงมีบทบาทสำคัญที่สุดในการฟื้นฟู และเป็นเหตุผลที่มูลนิธิต้องคัดเลือกผู้ป่วยโดยประเมินทั้งสภาพร่างกาย จิตใจ และความพร้อมของครอบครัว รวมถึงความสามารถในการดูแลค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง เช่น ค่าถ่านและค่าบำรุงรักษา
เพื่อสนับสนุนครอบครัว มูลนิธิได้จัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูที่โรงเรียนเศรษฐเสถียร พร้อมอุปกรณ์และหลักสูตรการฝึกที่ครบถ้วน และกำลังขยายเครือข่ายบุคลากรด้าน Auditory-Verbal Therapy หรือ AVT เพื่อให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ปกครองในต่างจังหวัด และเพิ่มโอกาสให้เด็กได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
สุดท้าย คุณศุขสนั่นได้เน้นย้ำว่า ในแต่ละปีมีเด็กที่เกิดมาพร้อมภาวะหูหนวกสนิทราว 300 คน ซึ่งทุกคนควรได้รับสิทธิในการเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียมตามหลักรัฐธรรมนูญ แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากรที่เป็นอุปสรรคสำคัญ แต่เป้าหมายของมูลนิธิคือการผลักดันให้เด็กไทยมีโอกาสได้รับการรักษาเช่นเดียวกับที่ประเทศพัฒนาแล้วจัดให้แก่พลเมืองของตน
เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ มูลนิธิได้ริเริ่มจัดตั้ง “กองทุนหนูอยากได้ยินเสียงแม่” เมื่อราวหกถึงเจ็ดปีก่อน เพื่อระลึกถึงสมเด็จพระพันปีหลวงซึ่งทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ กองทุนมีวัตถุประสงค์เฉพาะในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการผ่าตัดและการใช้ประสาทหูเทียม โดยอาศัยเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาเป็นหลัก
แนวคิดสำคัญของโครงการนี้อยู่ที่การสะท้อนความแตกต่างของผู้พิการทางการได้ยินกับผู้พิการทางสายตา เด็กที่ตาบอดแม้ถูกจำกัดการมองเห็น แต่ยังคงสามารถดำรงชีวิตและปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ ขณะที่เด็กที่หูหนวกกลับถูกตัดขาดจากโลกแห่งการสื่อสารโดยสิ้นเชิง และต้องใช้ “ภาษามือ” เป็นภาษาแม่ การได้ผ่าตัดประสาทหูเทียมจึงเปรียบได้กับการเปิดประตูให้พวกเขากลับมาเชื่อมโยงกับสังคมอีกครั้ง
โครงการนี้ได้สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เด็กคนแรกที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุน ปัจจุบันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และสามารถทำงานใช้ชีวิตอย่างปกติ เรื่องราวเช่นนี้สะท้อนถึงความมหัศจรรย์ของการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เกิดขึ้นได้จริง
มูลนิธิจึงขอแสดงความขอบพระคุณต่อทุกการสนับสนุน เพราะเบื้องหลังเด็กแต่ละคนที่ได้รับโอกาส ล้วนคือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะส่งผลต่อเขาไปตลอดชีวิต และเป็นพลังที่ทำให้โครงการนี้ยังคงเดินหน้าสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไปได้