
เงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง และสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 12.33 น. ของวันนี้ (24 ธ.ค. 2568) ค่าเงินบาทแข็งค่าหลุดระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะอ่อนค่าลงเพียงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 31.037 บาทต่อดอลลาร์ ณ เวลา 16.25 น.
การแข็งค่าของเงินบาทกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจส่งออกและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดโลก ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องเผชิญต้นทุนการเดินทางที่สูงขึ้น เนื่องจากสามารถแลกเงินบาทได้น้อยลง ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาพรวม
ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว เมื่อวานนี้กระทรวงการคลังได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกมาตรการ 3 ข้อ เพื่อรับมือกับการแข็งค่าของเงินบาทซึ่งเพิ่มขึ้นแล้ว 9.4% นับตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยมาตรการมุ่งจำกัดแรงเก็งกำไรจากการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งภาครัฐมองว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้บริษัทค้าทองคำต้องขายเงินดอลลาร์และแปลงเป็นเงินบาทในปริมาณมาก
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังไม่ตอบสนองต่อมาตรการดังกล่าวอย่างที่คาดหวัง ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง สะท้อนคำถามสำคัญว่า มาตรการเหล่านี้อาจไม่เพียงพอในการพลิกทิศทางค่าเงิน และปัจจัยที่แท้จริงซึ่งอยู่เบื้องหลังการแข็งค่าของเงินบาทอาจลึกและซับซ้อนกว่านั้น โดย InnovestX ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ในประเด็นนี้ไว้ในวันนี้ เพื่อชี้ให้เห็นต้นตอของปัญหาและทิศทางที่ควรจับตาต่อไป
รายงานของ Innovest X ระบุว่า ในวันที่ 23 ธันวาคม 2568 กระทรวงการคลังร่วมกับ ธปท. และ ก.ล.ต. ได้ประกาศมาตรการ 3 ข้อเพื่อจัดการกับสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 9.4% ตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยมุ่งเป้าไปที่การซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งทางการมองว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้บริษัททองคำต้องขายดอลลาร์ซื้อบาทในปริมาณมาก โดยมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับยังย้ำว่า ธุรกรรม USDT และคริปโต มีสัดส่วนต่อ FX inflow ต่ำ (ราว 1.22% และ 0.17% ตามลำดับ) จึงยังไม่เป็นปัจจัยหลักต่อทิศทางเงินบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว Innovest X มองว่ามาตรการเหล่านี้จะไม่สามารถควบคุมค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผล 5 ประการสำคัญ
1. ทองคำไม่ใช่ต้นตอแท้จริงของปัญหา
แม้เอกสารจากกระทรวงการคลังจะระบุว่า “บริษัททองคำขายเงินดอลลาร์สหรัฐสุทธิมากถึงร้อยละ 40–50 ของปริมาณการขายเงินดอลลาร์สหรัฐสุทธิของทั้งประเทศในช่วงนั้นๆ” แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมดุลการค้าทองคำจะพบว่า ไทยเป็นผู้นำเข้าทองคำสุทธิอย่างต่อเนื่อง
จากข้อมูล Gold Trade Balance แสดงให้เห็นว่าไทยขาดดุลการค้าทองคำ 3,880 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 และ 3,987 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งหมายความว่าในท้ายที่สุดแล้ว ไทยต้องขายบาทซื้อดอลลาร์เพื่อนำเข้าทองคำมากกว่าที่จะได้ดอลลาร์กลับมา
การที่บริษัททองคำขายดอลลาร์ในระยะสั้นเป็นเพียงธุรกรรม hedging ปิดความเสี่ยงจากการถือสต็อกทองคำในต่างประเทศ แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทิศทางของกระแสเงินสุทธิที่ไทยยังคงเป็นฝ่ายนำเข้า ดังนั้น การจำกัดการซื้อขายทองคำจะเป็นเพียงการลดความผันผวนในระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาโครงสร้างที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า
2. กระบวนการออกมาตรการภาษีใช้เวลานาน ไม่ทันต่อสถานการณ์
มาตรการที่ 2 ที่ให้กรมสรรพากร “พิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ (SBT)” นั้นไม่สามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (public hearing) ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน จากนั้นต้องผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และกรรมการกำกับการออกกฎหมาย (กกต.) อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะถูกคัดค้านหรือติดตั้งแต่ช่วง public hearing เนื่องจากจะกระทบต่อธุรกิจทองคำที่เป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญอันดับ 3 ของประเทศ
ขณะที่สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าเป็นปัญหาเร่งด่วนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ การออกมาตรการที่อาจใช้เวลาหลายเดือนจึงไม่ทันต่อการแก้ปัญหาที่กำลังส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
3. ปัจจัยแท้จริงคือนโยบายการเงินที่ตึงตัวเกินไป
สาเหตุหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่องไม่ได้มาจากการซื้อขายทองคำ แต่มาจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (real interest rate) ระหว่างไทยกับประเทศหลัก แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงแล้วบ้าง แต่เมื่อพิจารณาจาก real interest rate (หักเงินเฟ้อแล้ว) ของไทยยังคงสูงกว่าสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ
สภาวะดังกล่าวทำให้เกิดกระแสเงินทุนเก็งกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย (carry trade) โดยนักลงทุนต่างชาติยืมเงินในสกุลที่มีดอกเบี้ยต่ำ (เยน ดอลลาร์) แล้วนำมาลงทุนในตราสารหนี้ไทยที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ความต้องการซื้อบาทเพื่อลงทุนในตราสารหนี้ไทยจึงเป็นแรงกดดันหลักที่ทำให้บาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจำกัดการซื้อขายทองคำไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เลย
4. ธนาคารแห่งประเทศไทยลดการแทรกแซงตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
สัญญาณที่น่าสนใจจากข้อมูล Change in International Reserves แสดงให้เห็นว่า ธปท. ลดการเข้าแทรกแซงตลาดเงินตราอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 โดยในช่วง 3 ตุลาคม – 12 ธันวาคม 2025 การเข้าแทรกแซงเฉลี่ยเพียง 1,116.4 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าช่วงมกราคม–กันยายน 2025 ที่เฉลี่ย 3,472.7 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ถึง 68% ทั้งๆ ที่ช่วงพฤศจิกายน–ธันวาคมเป็นช่วงที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วประมาณ 2% ในหนึ่งเดือน
การที่ ธปท. เลือกที่จะไม่เข้าแทรกแซงตลาดอย่างจริงจังในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าเร็ว แสดงให้เห็นว่า ธปท. อาจยอมรับกับระดับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น หรืออาจมีข้อจำกัดในการแทรกแซงเนื่องจากกังวลเรื่องเงินสำรองระหว่างประเทศ การที่มาตรการจากกระทรวงการคลังมุ่งไปที่การจำกัดการซื้อขายทองคำ ขณะที่ ธปท. ไม่เข้าแทรกแซงตลาดอย่างจริงจังจึงขาดการประสานนโยบายที่แท้จริง
5. ตลาดไม่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพของมาตรการ
หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่ามาตรการนี้ไม่ได้ผล คือ ปฏิกิริยาของตลาดหลังประกาศมาตรการ แทนที่เงินบาทจะอ่อนค่าลง กลับมีแรงซื้อบาทเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เงินบาทแข็งค่าจาก 31.40 บาทต่อดอลลาร์ก่อนประกาศ มาอยู่ที่ 31.15 บาทต่อดอลลาร์ในปัจจุบัน ผู้เล่นในตลาดเห็นว่ามาตรการดังกล่าวไม่สามารถจัดการกับปัจจัยโครงสร้างที่ทำให้บาทแข็ง โดยเฉพาะความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยและการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนจึงใช้โอกาสนี้เพิ่มการซื้อบาทเพื่อเก็งกำไร (speculative attack) มากขึ้นอีก ซึ่งกลายเป็นวงจรเสริมตัวเอง (self-fulfilling prophecy) ที่ทำให้บาทแข็งค่าเร็วขึ้น
มาตรการที่ประกาศออกมาแม้จะมีเจตนาดี และอาจช่วยเพิ่มความโปร่งใสในตลาดทองคำได้ แต่ไม่ได้จับประเด็นหลักของปัญหา เงินบาทแข็งค่าเป็นผลมาจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวเกินไป ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง และการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ การจำกัดการซื้อขายทองคำเป็นเพียงการรักษาอาการแทนที่จะรักษาโรค
Innovest X คาดว่าเงินบาทจะยังคงแข็งค่าต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 31.80 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาส 1/2026 จาก 32.20 ในไตรมาส 4/2025 ท่ามกลางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในตลาดโลก ความตึงตัวของนโยบายการเงินไทย และกระแสเก็งกำไรในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน นอกเสียจากว่า ธปท. จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน (emergency cut) หรือการพิจารณามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งไม่ใช่กรณีฐานของ Innovest X