
ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ระบุว่า ขณะนี้ ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่กรอบการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไประหว่างไทยกับกัมพูชา หรือ GBC จะเริ่มต้นขึ้นในวันนี้ (24 ธันวาคม 2568) โดยตั้งแต่วันที่ 24 - 26 ธันวาคม 2568 จะเป็นการประชุมของระดับฝ่ายเลขานุการ GBC ที่จังหวัดจันทบุรี บริเวณจุดผ่านแดนบ้านผักกาด
เบื้องต้นคณะทำงานของทั้งสองฝ่ายได้มีการนัดประชุมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มต้นการประชุมในวันนี้เวลา 16.00 น. โดยมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชา จะส่งพลตรีแญม โบราเดน รองหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกัมพูชา พร้อมคณะทำงานฝ่ายทหารและพลเรือน เข้าประชุมหารือกับฝ่ายไทยในเย็นวันนี้ด้วย
หากการประชุมระดับเบื้องต้นผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น จะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ในช่วงเช้าของวันที่ 27 ธันวาคม 2568
บรรยากาศที่ด่านบ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เกาะติดการประชุมดังกล่าว ระบุว่า บรรยากาศในช่วงเช้าโดยทั่วไปปกติ โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารพรานนาวิกโยธิน ออกมาทำความสะอาดสถานที่ บริเวณหน้าด่านชายแดนถาวรบ้านผักกาด ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับด่านพรม จังหวัดไพลิน ประเทศกัมพูชา
ก่อนหน้านี้ ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าพฤติกรรมของกองกำลังกัมพูชามีลักษณะละเมิดกติกาสากลหลายประเด็น และการประชุม GBC จะต้องลงรายละเอียดเชิงเทคนิคให้ชัดเจน หากฝ่ายเลขานุการตกลงกันไม่ได้ ไทยอาจไม่เข้าร่วมหรือไม่ลงนามในข้อตกลงสันติภาพใด ๆ โดยฝ่ายไทยจะชี้ถึงพฤติกรรมที่กัมพูชาละเมิดกติกาสากล 5 ข้อ ได้แก่
1.การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (ครอบครอง–ผลิต–ใช้ทุ่นใหม่)
2.ใช้โบราณสถานเป็นที่มั่นทหาร
3.ใช้ชุมชนเป็นที่ตั้งยิงอาวุธหนัก/ย้ายกลับชุมชนหลังยิง
4.ใช้อาคารพลเรือนเป็นที่ตั้ง/คลังอาวุธ (รวมถึงอาคารที่เชื่อมโยงสแกมเมอร์/กาสิโนถูกใช้ทางทหาร)
5. ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์และเป็นเครื่องมือกล่าวหาเมื่อเกิดความสูญเสีย
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงแสดงจุดยืนก่อนการประชุม GBC ในวันนี้ ตอกย้ำแนวทางของไทยที่ยึดแนวทางสันติภาพมาโดยตลอด แต่มีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องอธิปไตยจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา นอกจากนี้ บทเรียนที่ทำให้ไทยต้องการเห็นความจริงใจจากฝ่ายกัมพูชา เพราะจะทำให้การหยุดยิงมีความยั่งยืนและยุติความรุนแรงได้จริง
แม้วันนี้ หลายฝ่ายกำลังจับตาการประชุม GBC และมองว่า ไทย-กัมพูชาคืบหน้าเรื่องการหาสันติภาพร่วมกันมากขึ้น แต่การปะทะในพื้นที่ชายแดนหลายจุดยังคงเกิดขึ้นในเช้าวันนี้ รวมถึงการปล่อยข่าวปลอมของฝั่งรัฐบาลกัมพูชาเช่นกัน
กองทัพบกไทยแถลงยืนยันกระสุนคลัสเตอร์ใช้เฉพาะเป้าหมายทหาร ไม่ใช่ทุ่นระเบิดสังหารพลเรือน ชี้นานาชาติจับตากัมพูชายังคงใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ด้านพลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีกระทรวงสารสนเทศกัมพูชา ได้เผยแพร่ภาพวัตถุระเบิด และถ้อยแถลงของ นายลี ทุจ รองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา CMAA โดยกล่าวอ้างว่า ไทยมีการใช้กระสุนปืนใหญ่แบบกระสุนคลัสเตอร์ M-46 ในหลายประเด็นดังนี้
กองทัพบกยืนยันว่า ที่กัมพูชาอ้างว่าระเบิดคลัสเตอร์ M-46 แท้จริงแล้วเป็นกระสุนปืนใหญ่แบบทวิประสงค์ที่ใช้ต่อเป้าหมายทางทหาร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำลายเท่านั้น โดยเมื่อกระสุนหลักกระทบเป้าหมาย กระสุนย่อยที่บรรจุอยู่ภายในจะทำการระเบิดต่อเนื่องในทันที ซึ่งกระสุนดังกล่าว ไม่ใช่ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (anti-personnel landmines) และมิได้มีลักษณะเป็นอาวุธดักทำร้ายพลเรือนแต่อย่างใด
โฆษกกองทัพบกกล่าวว่า กระสุนปืนใหญ่ดังกล่าว เมื่อกระสุนหลักกระทบเป้าหมายแล้ว กระสุนย่อยที่บรรจุอยู่ภายในจะระเบิดต่อเนื่องในทันที ไม่มีผลตกค้างในระยะยาวต่อพลเรือน การกล่าวอ้างในลักษณะดังกล่าวเป็นการกล่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยมีเจตนามุ่งกล่าวหาและลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายไทย
โฆษกกองทัพบกยืนยันว่า การปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทยเป็นไปตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยยึดหลัก “ความจำเป็นทางทหาร” และ “ความได้สัดส่วน” ใช้อาวุธเพื่อโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น
ที่สำคัญโฆษกกองทัพบก ย้ำว่า อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้กระสุนคลัสเตอร์ (Convention on Cluster Munitions – CCM) ซึ่งห้ามภาคีใช้งาน ผลิต หรือสะสมอาวุธชนิดนี้นั้น ไม่มีผลผูกพันเพราะทั้งประเทศไทยและกัมพูชา มิได้เป็นภาคีของอนุสัญญาฉบับดังกล่าว
กองทัพบกขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกและองค์กรระหว่างประเทศพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และตระหนักถึงพฤติกรรมการใช้อาวุธและการปฏิบัติทางทหารของฝ่ายกัมพูชา ที่ยังคงมีการใช้ใช้อาวุธยิงสนับสนุน เช่น ระบบ BM-21 อาวุธปืน ทุ่นระเบิด PMN-2 รวมถึงการดัดแปลงลูกกระสุนและระเบิดแสวงเครื่องจำนวนมาก ยิงเข้ามาในดินแดนประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชนฝ่ายไทยมาโดยตลอด
ทั้งนี้ กองทัพบกยังคงยึดมั่นในการใช้กำลังอย่างรับผิดชอบ ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และพร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงด้วยความโปร่งใส เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศอย่างถึงที่สุด