
ปี 2568 ค่าเงินบาทกลายเป็นหนึ่งในประเด็นเศรษฐกิจที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หลังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจากต้นปีที่ระดับราว 34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะแข็งค่าลงไปแตะประมาณ 31.38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี และแข็งค่าเร็วกว่าสกุลเงินสำคัญหลายประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ล่าสุด ณ วันที่ 19 ธันวาคม เวลา 14.30 น. ค่าเงินบาทยังทรงตัวอยู่ในระดับแข็งค่าที่ราว 31.449 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภาคเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยเฉพาะผู้ส่งออกและผู้ที่มีรายได้จากต่างประเทศซึ่งเผชิญแรงกดดันด้านรายรับทันที ทว่าภายใต้ตัวเลขค่าเงินที่แข็งขึ้น คำถามสำคัญอาจไม่ใช่เพียงว่า “ใครได้หรือเสียประโยชน์” แต่คือ “อะไรคือแรงขับเคลื่อนที่แท้จริงของเงินบาทแข็งค่าในรอบนี้”
เงินบาทแข็งเพราะดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า การฟื้นตัวของดุลบัญชีเดินสะพัดจากภาคท่องเที่ยว หรือกระแสการซื้อขายทองคำเพียงอย่างเดียวจริงหรือไม่ หรือแท้จริงแล้วมีกระแสเงินทุนระยะสั้น การเก็งกำไร และธุรกรรมทางการเงินที่ซับซ้อนกว่านั้นเข้ามามีบทบาท
บทความนี้จะชวนไล่เรียง “ผู้ต้องสงสัย” ของเงินบาทแข็งค่า วิเคราะห์ปัจจัยที่อยู่เบื้องหลัง และประเมินผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทยในมิติต่าง ๆ
ข้อมูลจากธปท. ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้วมากกว่า 8% ขณะที่ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงเชิงนาม (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ปรับแข็งค่าขึ้นกว่า 4% สะท้อนแรงกดดันด้านค่าเงินที่เร่งตัวอย่างมีนัยสำคัญ ในบริบทดังกล่าว คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินในการแถลงข่าวการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 17 ธันวาคมว่า การแข็งค่าของเงินบาทเริ่มมีลักษณะเบี่ยงเบนออกจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมากขึ้น และอาจสะท้อนแรงเคลื่อนไหวจากปัจจัยภายนอกหรือกระแสเงินทุนเป็นสำคัญ มากกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจภายในประเทศเพียงอย่างเดียว
ความเห็นนี้สอดคล้องกับมุมมองของนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งได้กล่าวในปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Driving Thailand Toward Sustainable Wealth : เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน” ในงานสัมมนา Thailand Next Move 2026 : Wealth Creation จัดโดยวารสารการเงินธนาคาร ว่า การแข็งค่าของเงินบาทที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี ไม่ได้เป็นผลจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งโดยลำพัง แต่เป็นผลจากแรงกดดันหลายชั้นที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจโลก กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย และโครงสร้างเฉพาะของบางตลาดในประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจทองคำและธุรกรรมทางการเงินบางรูปแบบที่เชื่อมโยงกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าแรงในรอบนี้ ไม่ใช่ผลจาก “เหตุเดียว” แต่เป็นการผสมกันของแรงกระแทกจากหลายปัจจัย และการดูแลค่าเงินจำเป็นต้องมองลึกไปถึง “ต้นตอของโฟลว์” ที่ไหลเข้ามาในระบบ มากกว่าการจัดการที่ปลายเหตุของตัวค่าเงินเพียงอย่างเดียว
นายวิทัยอธิบายว่า หนึ่งในแรงกระแทกหลักประการแรกที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเกิดจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศแทบไม่มีอำนาจในการกำกับหรือชี้นำ โดยเฉพาะการปรับอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ลดลงราว 10% ภายในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี
การอ่อนค่าของดอลลาร์ในระดับดังกล่าวส่งผลเป็นวงกว้างไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเทศไทย ค่าเงินของหลายประเทศในเอเชียและกลุ่มตลาดเกิดใหม่ปรับแข็งค่าขึ้นในทิศทางเดียวกัน จึงสะท้อนว่าการแข็งค่าของเงินบาทส่วนหนึ่งเป็นผลจากแรงกดดันเชิงระบบของเศรษฐกิจโลก มากกว่าจะเป็นภาพสะท้อนของความแข็งแกร่งเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยโดยตรง
อีกแรงหนุนสำคัญของค่าเงินบาทมาจากฐานะบัญชีเดินสะพัดของไทย ซึ่งในภาพรวมยังอยู่ในระดับที่ “เป็นบวกมากกว่าค่าเฉลี่ยตามปกติ” แม้ในบางช่วงจะเริ่มเห็นตัวเลขติดลบ แต่ยังไม่เข้าข่ายการขาดดุลเชิงโครงสร้างหรือขาดดุลต่อเนื่องเหมือนในหลายประเทศ
โครงสร้างดุลบัญชีเดินสะพัดในลักษณะนี้ทำให้เงินบาทมีความอ่อนไหวต่อการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในทิศทางแข็งค่าได้ง่ายกว่า แตกต่างจากประเทศที่เผชิญปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเรื้อรัง ซึ่งค่าเงินมักถูกกดดันให้อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ปัจจัยเชิงฤดูกาลในช่วงปลายปีของไทยยังเข้ามาเสริมแรง ทั้งรายได้จากภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และกระแสเงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลกลับเข้าสู่ระบบ ส่งผลให้แรงกดดันด้านการแข็งค่าของเงินบาทปรากฏชัดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ
ปัจจัยถัดมาคือเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งนายวิทัยระบุว่าโดยเนื้อแท้แล้วอยากเรียกว่าเป็นเรื่องของ Flow มากกว่าปัจจัยพื้นฐาน แม้จะมีความเชื่อมโยงกับ Fundamental อยู่บางส่วน เงินทุนที่ไหลเข้ามาหลักคือการลงทุนในพอร์ตจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะ Non-resident ที่เข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ของไทยจำนวนมาก
เมื่อถูกถามว่าสามารถปิดกั้นเงินทุนเคลื่อนย้ายเหล่านี้ได้หรือไม่ ผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่าสามารถทำได้ แต่ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และต้องประเมินผลกระทบอย่างรอบคอบ โดยย้ำถึงบทเรียนในปี 2553 ที่มีการใช้มาตรการเก็บภาษีเงินทุนเคลื่อนย้าย (URR) ซึ่งทำให้ตลาดปรับตัวลงรุนแรงถึงราว 13% ภายในวันเดียว เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดของธนาคารกลางเอง และสะท้อนว่าการใช้มาตรการรุนแรงเกินไปอาจทำให้ตลาด Crash ได้ทันที ซึ่งไม่มีใครต้องการเห็น รวมถึงแบงก์ชาติด้วย
นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ชัดว่า หนึ่งในแรงกระแทกที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทอย่างรุนแรงที่สุดในรอบนี้ มาจากธุรกิจการซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำที่ไม่ได้อ้างอิงการส่งมอบทองคำจริง หรือที่เรียกว่า “Paper Gold” ผ่านแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มออนไลน์
ประเด็นปัญหาไม่ได้อยู่ที่การซื้อขายทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณในรูปแบบดั้งเดิม หากแต่อยู่ที่ตลาดทองคำออนไลน์ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก แม้จะไม่สามารถประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน แต่มีการประเมินว่า มูลค่าการซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันทั้งหมดอาจสูงถึงราว 40–50% ของ GDP สะท้อนการขยายตัวที่รวดเร็วและขนาดของตลาดที่ใหญ่ผิดปกติ
ในเชิงโครงสร้าง ตลาดดังกล่าวมีผู้ค้าทองคำรายใหญ่ประมาณ 15 ราย แต่มีเพียง 3-4 รายเท่านั้นที่มีบทบาทหลักในการทำธุรกรรมในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้ความเสี่ยงกระจุกตัวอยู่ในผู้เล่นไม่กี่รายอย่างชัดเจน ในวันที่เงินบาทแข็งค่ารุนแรง ปริมาณธุรกรรม FX ที่มาจากร้านทองสามารถเพิ่มขึ้นจนเกือบแตะ 20% ของปริมาณการซื้อขายเงินตราต่างประเทศทั้งตลาด
ที่สำคัญ เมื่อพิจารณาเฉพาะฝั่งการ “ขายดอลลาร์” ซึ่งเป็นแรงกดดันโดยตรงต่อการแข็งค่าของเงินบาท พบว่ากลุ่มร้านทองรายใหญ่เหล่านี้มีสัดส่วนการขายดอลลาร์สูงถึงราว 70% ของตลาดทั้งหมด ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนอย่างชัดเจนว่า การแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้ไม่ได้เกิดจากแรงซื้อขายของตลาดโดยรวม หากแต่ขับเคลื่อนโดยกระแสธุรกรรมขนาดใหญ่จากธุรกิจทองคำเป็นหลัก
นายวิทัยอธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อร้านทองทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ด้วยการขายดอลลาร์และซื้อเงินบาทในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ธุรกรรมเหล่านี้เองที่กลายเป็นแรงผลักดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทั้งที่กิจกรรมการซื้อขายทองคำในลักษณะดังกล่าวแทบไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรง ทั้งที่มีผลกระทบต่อระบบการเงินและค่าเงินในวงกว้างอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ธปท. ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ยกระดับการติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดมากขึ้น พร้อมทั้งพิจารณาแนวทางในการจัดการกับธุรกรรมที่สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับมาตรการที่ได้ดำเนินการแล้ว ธปท. ได้ปรับแนวปฏิบัติและกำชับให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารก่อนรับดำเนินธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ (FX) ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทองคำ โดยกำหนดให้ต้องเรียกตรวจสอบหลักฐานประกอบทุกธุรกรรมอย่างเคร่งครัด
ขณะที่มาตรการซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ ประกอบด้วยการกำหนดให้ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมทองคำในรายละเอียดมากขึ้น รวมถึงการเข้าตรวจสอบธุรกรรมขาย FX เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์ หรือเป็นเงินที่ไม่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจตามปกติ
นอกเหนือจากประเด็นทองคำ ยังมีข้อถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับบทบาทของธุรกรรมคริปโตและเงินเทา ว่าอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติ โดยเฉพาะการซื้อขายเหรียญ USDT ซึ่งเป็น Stablecoin ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงอย่างผิดสังเกตเมื่อเทียบกับคริปโตที่มีความผันผวนสูงอย่าง Bitcoin ข้อมูลจากสำนักงาน ก.ล.ต. ระบุว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2568 การซื้อขาย USDT คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 52% ของมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลต่อวัน ขณะที่ Bitcoin อยู่ที่เพียง 19% สะท้อนบทบาทของ USDT ที่โดดเด่นในระบบอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า การซื้อขายเหรียญ USDT ผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange: DA Exchange) ในประเทศไทย มีลักษณะเดียวกับการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ เช่น หลักทรัพย์ กล่าวคือ หากมีการขายสินทรัพย์ ผู้ขายจะได้รับเงินกลับมาเป็น เงินบาทโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) แต่อย่างใด ดังนั้น การซื้อขาย USDT บน DA Exchange ภายในประเทศจึง ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทโดยตรง
ในทำนองเดียวกัน หากมีการนำเงินที่เข้าข่ายต้องสงสัย หรือเงินที่สังคมตั้งข้อกังวลเรื่อง “เงินเทา” เข้ามาซื้อหรือขาย USDT ผ่าน DA Exchange ในประเทศไทย ธุรกรรมดังกล่าวก็ยังคงเกิดขึ้นในรูปของเงินบาททั้งหมด จึงไม่ก่อให้เกิดแรงซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศโดยตรง และไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในเชิงกลไกตลาด FX
อย่างไรก็ตาม ธปท. ยอมรับว่าในทางอ้อมยังมีความเป็นไปได้ หากเกิดภาวะที่มีการขาย USDT ในประเทศเป็นจำนวนมากจนแรงขายสูงกว่าแรงซื้อ ส่งผลให้ราคาของ USDT บน DA Exchange ในไทยปรับลดลงต่ำกว่าราคาในตลาดต่างประเทศ อาจเปิดช่องให้เกิดการทำ Arbitrage โดยนำ USDT ออกไปขายใน DA Exchange ต่างประเทศที่มีราคาสูงกว่า รับรายได้เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ก่อนนำเงินดังกล่าวกลับเข้ามาแลกเป็นเงินบาท ซึ่งในกรณีนี้อาจกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ หนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าได้
ทั้งนี้ ในเชิงกำกับดูแล ธปท. กำหนดให้สถาบันการเงินในประเทศต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาททุกประเภทมายัง ธปท. อย่างครอบคลุม ซึ่งรวมถึงธุรกรรม FX ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย จากข้อมูลที่ได้รับในปัจจุบัน พบว่า สัดส่วนธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลมีสัดส่วนต่ำกว่า 1% ของธุรกรรม FX ทั้งหมด จึงยังไม่ใช่ปัจจัยหลักที่สามารถอธิบายการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญได้
ขณะเดียวกัน ธปท. ระบุว่าอยู่ระหว่างการ ตรวจสอบและยกระดับความเข้มงวดในการติดตามรายละเอียดธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มเติม เพื่อปิดช่องโหว่เชิงกำกับดูแล และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระบบการเงินโดยรวม ซึ่งสอดคล้องกับความกังวลของภาคเอกชนและนักเศรษฐศาสตร์ที่ยังคงจับตาบทบาทของตลาดคริปโตต่อเสถียรภาพทางการเงินและค่าเงินไทยอย่างใกล้ชิด
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ระบุว่า การแข็งค่าของเงินบาทที่เร่งตัวขึ้นอย่างผิดปกติไม่ได้เป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง แต่มีสาเหตุหลักจากกระแสเงินทุนไหลเข้าเพื่อการเก็งกำไรในกิจกรรมที่มิใช่การค้าและการลงทุนตามปกติ โดยเฉพาะธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองคำและสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีขนาดใหญ่และเคลื่อนไหวรวดเร็ว ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่ารุนแรงในระยะเวลาอันสั้น จนธนาคารแห่งประเทศไทยต้องพิจารณามาตรการเชิงนโยบายที่เข้มข้นขึ้น ทั้งด้านอัตราดอกเบี้ยและการกำกับดูแลธุรกรรมทางการเงิน เพื่อสกัดแรงเก็งกำไรในระยะถัดไป
ผลกระทบที่เห็นได้ชัดที่สุดคือภาคการส่งออกของไทย ซึ่งกำลังเผชิญภาวะชะลอตัวอยู่แล้วจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ การแข็งค่าของเงินบาทที่ระดับใกล้ 31 บาทต่อดอลลาร์ สร้างแรงกดดันโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก เนื่องจากทำให้ราคาสินค้าไทยในตลาดโลกสูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่ยังเป็นเงินบาท ส่งผลให้มาร์จิ้นและผลกำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่แข่งขันด้านราคาเป็นหลัก
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจและผู้ส่งออกสะท้อนตรงกันว่า ระดับค่าเงินบาทที่เหมาะสมต่อการรักษาความสามารถในการแข่งขันและอัตรากำไรควรอยู่ในช่วงประมาณ 33-35 บาทต่อดอลลาร์ การที่เงินบาทแข็งค่าลงมาใกล้หรือหลุดระดับ 31 บาท จึงถือเป็นภาวะ “แข็งค่าเกินไป” และเป็นปัจจัยลบที่บั่นทอนผลประกอบการของผู้ส่งออกโดยตรง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความสามารถในการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจำกัด
ประเด็นที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ การแข็งค่าของเงินบาทเกิดขึ้นในช่วงที่พื้นฐานเศรษฐกิจภายในประเทศยังอ่อนแอ โดยอัตราการเติบโตของ GDP ไทยยังต่ำกว่า 2% ขณะที่การฟื้นตัวของการส่งออกและการท่องเที่ยวยังไม่โดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญ เงินบาทที่แข็งค่าในบริบทดังกล่าวจึงไม่ได้สะท้อนเสถียรภาพหรือความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจริง แต่กลับเพิ่มแรงกดดันต่อภาคการผลิต รายได้ของผู้ประกอบการ และการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจ
ด้านมุมมองจากภาคการเงิน ชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เตือนว่า แนวโน้มการส่งออกไทยในปีหน้าอาจขยายตัวได้เพียง 0-2% ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก ฐานการส่งออกที่สูงขึ้น และความผันผวนของค่าเงินบาท โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก ๆ 1 บาท จะกระทบกำไรของผู้ส่งออกประมาณ 2% และหากแข็งค่าขึ้น 2 บาท กำไรอาจหายไปถึง 5% ซึ่งกระทบหนักเป็นพิเศษต่อผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังขาดเครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และมีความเปราะบางทางการเงินสูงกว่ารายใหญ่
เมื่อพิจารณาภาพรวม เงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วในระยะนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยน แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ทั้งการพึ่งพาการส่งออกในอุตสาหกรรมเดิม ความอ่อนแอของ SMEs ความเสี่ยงจากเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไม่สอดคล้องกับกิจกรรมเศรษฐกิจจริง และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก หากไม่สามารถจัดการที่ต้นตอของปัญหาได้อย่างรอบด้าน ค่าเงินบาทที่แข็งเกินพื้นฐานอาจกลายเป็นแรงฉุดเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป