Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
5 ครั้งคนตัวเล็กฟ้องบริษัทใหญ่ ปล่อยคาร์บอน ทำลายสิ่งแวดล้อม
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

5 ครั้งคนตัวเล็กฟ้องบริษัทใหญ่ ปล่อยคาร์บอน ทำลายสิ่งแวดล้อม

24 ธ.ค. 68
13:44 น.
แชร์

“ปล่อยคาร์บอนมาก ก็ต้องรับผิดชอบมาก” นี่คือแนวคิดที่ทั่วโลกกำลังพยายามเรียกร้องให้ผู้ปล่อยคาร์บอนรายใหญ่ อย่างประเทศร่ำรวยที่ผลิตคาร์บอนมาก หรือบริษัทขนาดยักษ์ที่ใช้พลังงานฟอสซิลมาก มารับผิดชอบต่อผลของสภาพภูมิอากาศทีมักเกิดกับคนจนหรือประเทศยากจน ซึ่งนอกจากจะมีความพร้อมรับมือน้อยกว่า หลายแห่งยังอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อภัยพิบัติรุนแรง

หลายปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ “สงครามกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ” (climate lawfare) กำลังขยายตัว นักเคลื่อนไหว นักวิทยาศาสตร์ และชนพื้นเมืองจำนวนมากยื่นฟ้องรัฐบาลและบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล ด้วยหวังชะลอภาวะโลกร้อนด้วยการทำให้ผู้ก่อผลกระทบต้องรับผิดชอบต่อผลจากสภาพภูมิอากาศ เช่น สภาพอากาศสุดขั้ว

นี่คือ 5 ตัวอย่างการยื่นฟ้องของ “คนตัวเล็ก” ต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ ขอให้รับผิดชอบต่อการดำเนินการของบริษัท ที่ทำให้วิกฤตสภาพอากาศเลวร้ายลง

ชาวนาเปรูฟ้อง RWE ทำน้ำแข็งแอนดีสละลาย

เมื่อปี 2558 นายซาอูล ลูซิอาโน ลิยูยา (Saul Luciano Lliuya) เกษตรกรชาวเปรูจากเมืองฮัวราซ ประเทศเปรูยื่นฟ้องต่อบริษัท RWE บริษัทพลังงานสัญชาติเยอรมนี เหตุปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนส่งผลต่อการละลายของน้ำแข็งบนเทือกเขาแอนดีส

ในปี 2021 นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดและมหาวิทยาลัยวอชิงตันพิสูจน์ว่าการละลายของน้ำแข็งบนเทือกเขาแอนดีสเป็นผลมาจากภาวะโลกรวนที่สร้างโดยมนุษย์จริง และความเสี่ยงน้ำท่วมก็ส่งผลต่อผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง 

ลิยูยาร่วมมือกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม Germanwatch ใช้ข้อมูลการผลิตที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในอดีตจาก Carbon Majors ชี้ว่าบริษัท RWE เป็นผู้ผลิตก๊าซเรือนกระจกที่ก่อโดยมนุษย์เกือบ 0.5% ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา และบริษัทควรแสดงความรับผิดชอบต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศตามสัดส่วนที่บริษัทก่อขึ้น เรียกร้องให้ RWE จ่ายเงิน 23,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 775,000 บาท ให้โครงการป้องกันน้ำท่วมมูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 117.9 ล้านบาท

ด้านบริษัท RWE กล่าวว่า ข้ออ้างของลิยูยานั้นไม่มีมูล ผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนเพียงเจ้าเดียวไม่สามารถจะรับผิดชอบภาวะเรือนกระจกเพียงผู้เดียวได้

RWE ปล่อยก๊าซคาร์บอนไปทั้งหมด 60.6 ล้านตันในปี 2023 ลดลงจาก 118 ล้านตันในปี 2-18 แต่ก็มีการดำเนินการเพื่อนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ บริษัทกำลังลดการใช้พลังงานถ่านหิน (เหลือ 7 แห่งจาก 20 แห่งในปี 2563) ซึ่งคิดเป็น 26.7% ของการผลิตพลังงานทั้งหมดของบริษัท และมีโรงงานไฟฟ้ากังหันก๊าซอีก 21 แห่ง

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ศาลชั้นสูงระดับภูมิภาค เมืองฮามม์ รัฐนอร์ธไรน์-เวสต์ฟาเลียประเทศเยอรมนีเริ่มกระบวนการสืบพยานแล้ว

ชาวเกาะคีฟวาลินา รัฐอะแลสกาฟ้อง ExxonMobil ทำโลกร้อน พวกเขาอาจต้องอพยพ

เมื่อปี 2552 ประชาชนเมืองคีฟวาลิน ในรัฐอะแลสกายื่นฟ้องผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของสหรัฐฯ หนึ่งในนั้นคือ EsxonMobil เนื่องจากมีส่วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

คีฟวาลินาเป็นหมู่บ้านชนพื้นเมืองอีนูเปียต (Iñupiat) ตั้งอยู่บนสันดอนทรายแคบ ๆ ยาว 6 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอะแลสกา มีวัฒนธรรมโดดเด่น โดยเฉพาะการล่าปลาวาฬ อย่างไรก็ตาม พวกเขาเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาก อย่างการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการกัดเซาะชายฝั่ง

โจทก์อ้างว่า คีฟวาลินาถูกกัดเซาะจนส่งผลกระทบต่อหมู่บ้าน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้น้ำแข็งทะเล ซึ่งเดิมเคยทำหน้าที่ปกป้องหมู่บ้าน ละลายหายไป

คีฟวาลินาได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินต่อศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ภาคที่เก้า (U.S. Court of Appeals for the Ninth Circuit) ซึ่งศาลได้ยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ภาคที่เก้าได้ยกฟ้องคดีนี้โดยอาศัยเหตุผลทางกฎหมายที่แตกต่างออกไป โดยวินิจฉัยว่า ข้ออ้างเรื่องการก่อความเดือดร้อนรำคาญ (nuisance claim) ของคีฟวาลินาไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาล เนื่องจากถูกกฎหมายว่าด้วยอากาศสะอาด (Clean Air Act: CAA) เข้ามาแทนที่แล้ว

Greenpeace ฟ้อง TotalEnergies ฟอกเขียว

เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2565 Greenpeace และองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมอีกสองแห่งได้ยื่นฟ้องบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส TotalEnergies กล่าวว่า เป้าหมาย NET ZERO ก่อนปี 2050 (2593) เป็นเพียงการตลาดและการประชาสัมพันธ์บริษัท 

TotalEnergies หรือแต่เดิมคือ Total คือ 1 ใน 10 บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุด หากวัดตามรายได้ บริษัทเปลี่ยนชื่อในปี 2564 เติมคำว่า Energies ต่อท้าย พร้อมนโยบาย net-zero 2050 สวมหมวกผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน

อย่างไรก็ตาม Greenpeace กล่าวว่า การจะถึงเป้าหมาย net-zero ต้องหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก และ TotalEnergies ไม่ได้ทำตามนั้น ยุติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่กลับกัน บริษัทยังเดินหน้าผลักดันโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลใหม่ๆ อย่างในยูกันดา โมซัมบิก และซูรินาเม ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับแหล่งสกัดไฮโรคาร์บอนขนาดใหญ่ 23 แห่งทั่วโลก

เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา (2568) ศาลฝรั่งเศสตัดสินว่า บริษัท TotalEnergies มีความผิดฐานทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดเกี่ยวกับการอ้างว่า “เป็นกลางทางคาร์บอน” 

ศาลพบว่า บริษัทได้เผยแพร่ข้อความบนเว็บไซต์ซึ่ง “มีแนวโน้มทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดเกี่ยวกับขอบเขตของพันธกรณีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มบริษัท” 

ศาลสั่งให้บริษัทจ่ายเงิน 8,000 ยูโร ให้แก่องค์กรพัฒนาเอกชนทั้งสามแห่ง และรับผิดชอบค่าธรรมเนียมทางกฎหมายทั้งหมด และต้องลบข้อความด้านสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่ทำให้เข้าใจผิดออกจากเว็บไซต์ และต้องโพสต์ลิงก์ไปยังคำตัดสินของศาล 

กลุ่มนักเคลื่อนไหวเรียกคดีนี้ว่าเป็น “ความก้าวหน้าครั้งใหญ่” ในศาลเกี่ยวกับคดีฟอกเขียว เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังภาคธุรกิจและรัฐบาลว่า การอ้างต่อสาธารณะด้านสภาพภูมิอากาศต้องมีข้อเท็จจริงรองรับ หรือสอดคล้องกับการลงมือปฏิบัติจริง

ชาวประมงไนจีเรียฟ้อง Shell น้ำมันรั่วไหลทำลายแหล่งน้ำ

เมื่อปี 2551 กลุ่มชาวประมงและชาวนาไนจีเรีย ด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มนักเคลื่อนไหว Friends of the Earth Netherlands ยื่นฟ้องบริษัทพลังงานใหญ่ Shell ต่อศาลเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า มีน้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันของ Shell และปัญหาไม่ถูกจัดการอย่างเหมาะสม

โจทก์ชี้ว่า Shell ไม่บำรุงรักษาท่อส่งน้ำมันอย่างเหมาะสม เป็นเหตุให้น้ำมันรั่วไหล ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทำลายบ่อเลี้ยงปลา พื้นที่เพาะปลูก คนท้องถิ่นเสียผลประโยชน์นำมาสู่ความยากจนในหลายพื้นที่ อาทิ Goi, Ikot Ada Udo, และ Oruma

โจทก์เรียกร้องให้ Shell ทำความสะอาดน้ำมันที่รั่วไหล และจ่ายค่าชดเชยให้ความเสียหายที่เกิดขึ้น และปรับปรุงการบำรุงรักษาเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

จนถึงปี 2556 ศาลในกรุงเฮกมีคำพิพากษาว่า Shell มีความผิดฐานก่อให้เกิดมลพิษบนที่ดินของ Friday Alfred Akpan โดย Shell ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว ขณะที่องค์กร Friends of the Earth เนเธอร์แลนด์ และชาวไนจีเรียได้ยื่นอุทธรณ์ต่อการที่ศาลปฏิเสธข้อเรียกร้องของเกษตรกรอีกสามรายที่เหลือ

อย่างไรก็ตาม กรณีน้ำมันรั่วไหลของ Shell ยังมีให้เห็นต่อเนื่อง ในปี 2558 สมาชิกชุมชน Ogale และ Bille ยื่นฟ้อง Shell ต่อศาลอังกฤษให้รับผิดชอบต่อมลพิษน้ำมันในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ ซึ่งน้ำมันรั่วไหลยาวนานหลายศตวรรษได้ทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง

คดีนี้แม้ Shell จะพยายามยับยั้งด้วยเหตุผลหลายข้อ แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ศาลสูงลอนดอนประกาศเริ่มพิจารณาคดีในชั้นต้น

ชาวเกาะอินโดฟ้องบริษัทซีเมนต์ Holcim ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก ทำน้ำทะเลเพิ่มสูง

เมื่อเดือนมกราคม 2566 ชาวเกาะปารี (Pari Island) จำนวน 4 คน ยื่นคำฟ้องต่อศาลคันตอน เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า บ้านเกิดของพวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และบริษัทโฮลซิมล้มเหลวในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างเหมาะสม

โฮลซิมเป็นหนึ่งในผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นหนึ่งในผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รายใหญ่ที่สุดของโลก (ติด 1 ใน 50 อันดับแรก ตามข้อมูลปี 2566) และได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “คาร์บอนเมเจอร์” (Carbon Major) ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

บริษัทโฮลซิมดำเนินกิจการในอินโดนีเซียจนถึงปี 2562 ก่อนจะขายกิจการในประเทศดังกล่าวให้แก่บริษัทท้องถิ่น เซเมน อินโดนีเซีย (Semen Indonesia) อย่างไรก็ตาม บริษัทโฮลซิมยังคงมีประวัติการปล่อยก๊าซคาร์บอนในปริมาณมากนับตั้งแต่ปี 2493 โดยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสะสมรวมประมาณ 7 พันล้านตัน และใช้พลังงานฟอสซิลคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 0.42 ของการใช้พลังงานฟอสซิลทั่วโลก ซึ่งมากกว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ปล่อยออกมาตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมถึงสองเท่า

โจทก์เรียกร้องให้บริษัทลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 43 ภายในปี 2573 และลดลงร้อยละ 69 ภายในปี 2583 ตามลำดับ รวมทั้งเรียกร้องให้บริษัทจ่ายค่าชดเชยความเสียหาย และจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการเตรียมความพร้อมในการป้องกันน้ำท่วม

เมื่อวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม 2568 ศาลในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ระบุว่า จะรับฟังการพิจารณาคำร้อง การรับฟังการพิจารณาคดีครั้งนี้ของศาลคันตอน เมืองซูริก นับเป็นครั้งแรกที่ศาลในประเทศสวิตเซอร์แลนด์รับฟังคดีด้านสภาพภูมิอากาศที่มีการฟ้องร้องบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ 

การฟ้องร้องด้านสภาพภูมิอากาศยังหมายถึงข้อพิพาททางกฎหมายที่เพิ่มขึ้นระหว่างนักลงทุนกับรัฐ ซึ่งเกิดจากบทบัญญัติในสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่เปิดทางให้บริษัทพลังงานสามารถฟ้องรัฐบาลได้ หากโครงการลดคาร์บอนของรัฐส่งผลกระทบต่อผลกำไร

ในปี 2024 มีการยื่นคดีด้านสภาพภูมิอากาศใหม่อย่างน้อย 226 คดี ทำให้ยอดรวมเพิ่มเป็นเกือบ 3,000 คดี ในเกือบ 60 ประเทศ


แชร์
5 ครั้งคนตัวเล็กฟ้องบริษัทใหญ่ ปล่อยคาร์บอน ทำลายสิ่งแวดล้อม