
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า สหรัฐฯ ได้แจ้งต่อองค์การสหประชาชาติเมื่อวันอังคารที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ทางสหรัฐฯ จะบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรอย่างเต็มกำลังถึงขีดสุด เพื่อลิดรอนทรัพยากรของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา ในขณะที่รัสเซียออกมาเตือนว่าประเทศอื่น ๆ ในละตินอเมริกาอาจเป็นรายต่อไป
รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ดำเนินปฏิบัติการต่อต้านเรือที่ต้องสงสัยว่าพัวพันกับการค้ายาเสพติดบริเวณนอกชายฝั่งเวเนซุเอลาและชายฝั่งแปซิฟิกของละตินอเมริกามานานหลายเดือนแล้ว โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขู่ว่า จะดำเนินการโจมตีบนแผ่นดินของเวเนซุเอลาด้วย
ไมค์ วอลซ์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำ UN กล่าวต่อสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า "ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดเพียงหนึ่งเดียวต่อซีกโลกนี้ ต่อภูมิภาคที่เป็นเพื่อนบ้านของเราเอง และต่อสหรัฐอเมริกา คือภัยจากกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ"
สหรัฐฯ ได้ยกระดับการวางกำลังทางทหารในภูมิภาค และทรัมป์ได้ประกาศปิดกั้นเรือทุกลำที่เข้าข่ายต้องถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ ซึ่งในช่วงเดือนนี้ที่ผ่านมา หน่วยยามชายฝั่งสหรัฐฯ ได้สกัดจับเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำในทะเลแคริบเบียน โดยทั้งคู่บรรทุกน้ำมันดิบของเวเนซุเอลามาเต็มลำ นอกจากนี้ หน่วยยามฝั่งยังกำลังไล่ติดตามเรือลำที่ 3 ซึ่งเป็นเรือเปล่าที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ชายฝั่งของเวเนซุเอลาในขณะนี้
วอลซ์กล่าวเพิ่มเติมว่า "ความจริงของสถานการณ์ก็คือ เรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจหลักให้แก่มาดูโรและระบอบปกครองที่ไม่ชอบธรรมของเขา อีกทั้งเรือที่ถูกคว่ำบาตรเหล่านี้ยังให้เงินสนับสนุนแก่กลุ่มนาร์โก-เทอร์เรอริสต์ กลุ่มก่อการร้ายค้ายาเสพติด ที่ทั่วโลกรู้จักกันในชื่อ 'คาร์เทล เดอ ลอส โซเลส' ด้วย"
วอชิงตันได้ระบุชื่อกลุ่ม 'คาร์เทล เดอ ลอส โซเลส' (Cartel de los Soles) หรือ 'คาร์เทลแห่งดวงตะวัน' ให้เป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เนื่องจากบทบาทที่ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการนำยาเสพติดผิดกฎหมายเข้าสู่สหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ กล่าวหาว่า มาดูโรเป็นผู้นำกลุ่มคาร์เทลนี้ ด้านรัฐบาลเวเนซุเอลาได้ปฏิเสธสิ่งที่ตนเรียกว่าเป็นการดำเนินการที่ "น่าขำ" ในการระบุชื่อกลุ่มที่ "ไม่มีตัวตนอยู่จริง"
วาสซิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำ UN กล่าวต่อสภาความมั่นคง โดยอ้างถึงเอกสารยุทธศาสตร์ฉบับล่าสุดของทรัมป์ที่ระบุว่า สหรัฐฯ จะกลับมาตอกย้ำอำนาจครอบงำของตนในซีกโลกตะวันตกอีกครั้ง พร้อมกล่าวเตือนบนเวทีสหประชาชาติว่า "การแทรกแซงที่สหรัฐฯ เปิดฉากขึ้นนี้ สามารถกลายเป็นต้นแบบ สำหรับการใช้กำลังในอนาคตต่อรัฐต่าง ๆ ในละตินอเมริกา"
ด้านซุน เล่ย รองเอกอัครราชทูตจีนประจำ UN กล่าวต่อสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเช่นกัน โดยจีนได้กระตุ้นให้สหรัฐอเมริกา “ยุติการดำเนินการที่เกี่ยวข้องโดยทันที และหลีกเลี่ยงการทำให้ความตึงเครียดบานปลายไปมากกว่านี้”
ทั้งนี้ เวเนซุเอลา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและจีน ได้ร้องขอให้จัดการประชุมเวทีดังกล่าวขึ้นเป็นนัดพิเศษ ซึ่งนับเป็นการประชุมครั้งที่สองเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยสภาความมั่นคงได้ประชุมครั้งแรกไปเมื่อเดือนตุลาคม ซึ่งครั้งนั้นสหรัฐฯ ได้ให้เหตุผลว่า การกระทำของตนสอดคล้องกับมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ที่กำหนดให้สภาความมั่นคงต้องได้รับแจ้งทันทีถึงการดำเนินการใด ๆ ที่รัฐกระทำเพื่อป้องกันตนเองจากการถูกโจมตีด้วยอาวุธ
ซามูเอล มอนคาดา เอกอัครราชทูตเวเนซุเอลาประจำ UN กล่าวต่อสภาฯ ระบุว่า "โปรดแน่ใจว่า เวเนซุเอลาพยายามยับยั้งสงครามในแคริบเบียน ไม่มีความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างประเทศ และไม่มีความขัดแย้งภายในประเทศใด ๆ ตามที่สหรัฐฯ กล่าวอ้าง ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเรื่องเหลวไหลที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตนโดยการนำมาตรการในช่วงเหล่านี้มาใช้"
การตัด "เส้นเลือดใหญ่" ของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร โดยสหรัฐฯ นั้น มีเป้าหมายหลักเพื่อทำลายกลไกการรักษาอำนาจที่ขึ้นตรงต่อรายได้จากน้ำมันและเครือข่ายนอกกฎหมาย ด้านฟรานซิสโก โมนาลดี ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายพลังงานละตินอเมริกาจากสถาบันเบเกอร์ (Baker Institute) วิเคราะห์ว่า การปิดล้อมทางทะเลและสกัดกั้นเรือบรรทุกน้ำมันคือการจู่โจมหัวใจสำคัญของระบบอุปถัมภ์ เนื่องจากมาดูโรต้องพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันในตลาดมืด ซึ่งมักขายให้จีนผ่านกองเรือเงา เพื่อนำเงินมาจ่ายค่าตอบแทนให้กองทัพและกลุ่มอิทธิพลที่ค้ำจุนตำแหน่งของเขา
เมื่อสหรัฐฯ ยึดเรือและบีบให้ส่วนต่างราคาน้ำมันดิบของเวเนซุเอลาต้องลดต่ำลงไปอีก จะทำให้ระบอบมาดูโรเผชิญกับภาวะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จนอาจไม่สามารถหล่อเลี้ยงความภักดีของกลุ่มผู้นำทหารได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมถอยของอำนาจ
ขณะที่แคลร์ ฟินเคลสไตน์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย มองว่า ยุทธวิธี "สูงสุด" ของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายแค่การตัดรายได้เท่านั้น แต่เป็นการสร้างแรงกดดันเชิงยุทธศาสตร์เพื่อบีบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยการใช้มาตรการทางทหารสกัดกั้นเส้นเลือดใหญ่ด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการกล่าวหาเรื่องการค้ายาเสพติด เป็นการแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ พร้อมจะก้าวข้ามขอบเขตของการคว่ำบาตรทั่วไป ไปสู่การเผชิญหน้าเพื่อกดดันให้มาดูโรตระหนักว่าต้นทุนในการรักษาอำนาจนั้นสูงเกินกว่าจะรับไหว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนับเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังพันธมิตรอย่างรัสเซียและจีนว่าพื้นที่อิทธิพลในซีกโลกตะวันตกกำลังถูกควบคุมโดยสหรัฐฯ อย่างเบ็ดเสร็จอีกครั้ง