
เศรษฐกิจเยอรมนีอ่อนแอจนเข้าสู่ภาวะ ‘เศรษฐกิจถดถอย’ (recession) อย่างเป็นทางการเมื่อไตรมาส 1 ของปี 2023 แม้ว่าสองไตรมาสต่อมาจะสามารถออกจากภาวะถดถอยได้ในทางเทคนิค แต่ก็กลับไปถดถอยอีกในไตรมาส 1 ปี 2024 ก่อนจะหลุดออกมาได้อีกครั้งในไตรมาส 3 ปี 2024 แต่หลังจากนั้นก็แทบไม่เติบโต เรียกว่ายังคงอยู่ในภาวะชะงักงัน (stagnation) อย่างต่อเนื่อง
ชาวเยอรมันเผชิญกับสภาเศรษฐกิจแบบนี้มาหลายปี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น แม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ดัชนีตลาดหุ้นเยอรมัน (DAX) พุ่งขึ้นจนเกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และในปีนี้ราคาหุ้นของบริษัทที่ใหญ่ 40 อันดับแรกของเยอรมนีเพิ่มขึ้น 19% ซึ่งสร้างความหวังต่อภาคธุรกิจเยอรมันและผู้ถือหุ้น แต่สื่อเยอรมันบอกว่านี่เป็นเพียง ‘ภาพลวงตา’ เพราะรายได้ 4 ใน 5 ของบริษัทเหล่านั้นเกิดขึ้นในต่างประเทศ ดังนั้น รายได้ที่ขยายตัวจึงไม่ได้สะท้อนถึงสถานะที่แท้จริงของภาวะเศรษฐกิจในเยอรมนี
ฮันเดิลสแบลตต์ (Handelsblatt) หนังสือพิมพ์ธุรกิจ-เศรษฐกิจชื่อดังในเยอรมนีวิเคราะห์ไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ระบบเศรษฐกิจเยอรมนีเผชิญกับปัญหาหลายอย่างที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน โดยมี 3 ปัญหาหลัก คือ
ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics): ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันของเยอรมนีในไตรมาส 3 มีสาเหตุหลักมาจากปริมาณการส่งออกที่ลดลง โดยมีปัจจัยกดดันจากนโยบายกีดกันทางการค้าและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของเยอรมนี
การประเมินสถานการณ์เชิงลบ: แม้รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ ฟรีดริช เมิร์ซ (Friedrich Merz) จะพยายามฟื้นฟูความเชื่อมั่น แต่ข้อพิพาทระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล (Union และ SPD) เกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน สวัสดิการสังคม และระบบราชการ ทำให้ภาคธุรกิจยังขาดความเชื่อมั่น ขณะที่ภาคครัวเรือนยังชะลอการบริโภคและออมเงินอย่างหนัก เพื่อเตรียมรับมือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่อาจเกิดขึ้น
เยอรมนีในฐานะ ‘ฐานธุรกิจ’ กำลังประสบปัญหา: เยอรมนีกำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งการขาดแคลนแรงงาน ราคาพลังงานที่สูง และความซับซ้อนและล่าช้าของระบบราชการ ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนศักยภาพของประเทศในฐานะฐานที่ตั้งธุรกิจ
ข้อมูลจากการรายงานของ Handelsblatt ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี นำมาเผยแพร่ ระบุว่า ในไตรมาสที่ 3 รายได้ของภาคอุตสาหกรรมในเยอรมนีลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เหลือ 525,000 ล้านยูโร โดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์มีรายได้ลดลงมากที่สุดที่ 3.2% และนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 เป็นต้นมา รายได้ของภาคอุตสาหกรรมเยอรมันลดลงอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส
ทั้งนี้ ข้อมูลนี้อิงจากข้อมูลดิบของสำนักงานสถิติประจำประเทศเยอรมนี (Statistisches Bundesamt) ซึ่งได้รับการวิเคราะห์โดย EY บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลก โดยการวิเคราะห์มุ่งเน้นไปที่บริษัทที่มีพนักงานขั้นต่ำ 50 คน ซึ่งมีจำนวนประมาณ 22,000 บริษัท
“ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในภาคอุตสาหกรรมยังคงดำเนินต่อไป และยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว” แจน บรอร์ฮิลเกอร์ (Jan Brorhilker) สมาชิกคณะกรรมการบริหารของบริษัท EY กล่าว และเขาบอกว่า สาเหตุของความถดถอยในอุตสาหกรรมของมีหลายสาเหตุ เช่น (1) ความต้องการภายในประเทศที่อ่อนแอเรื้อรัง (2) การขาดแคลนการลงทุน (3) ราคาพลังงานที่สูงขึ้น (4) ต้นทุนแรงงานที่ไม่ใช่ค่าจ้าง (Non-Wage Labour Costs) (5) อุปสรรคทางการค้าเนื่องจากภาษีศุลกากร และ (6) การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุเหล่านี้สร้างแรงกดดันให้กับภาคเอกชนอย่างหนัก
แม้ว่ารัฐบาลเยอรมันมีโครงการลงทุนหวังกระตั้นเศรษฐกิจ แต่บรอร์ฮิลเกอร์มองว่า โครงการลงทุน 500,000 ล้านยูโรของรัฐบาลกลางอาจจะไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด
สอดคล้องกับที่ นิลส์ แจนน์เซน (Nils Jannsen) นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันคีลเพื่อการวิจัยเศรษฐกิจโลก (Kiel Institute for the World Economy) วิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า หากไม่มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้ดีขึ้น นโยบายการคลังเหล่านั้นก็จะเป็นเพียงการกระตุ้นชั่วคราวแล้วหายไป โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่แม้การใช้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก ส่งผลให้ตลาดแรงงานซบเซาลงและการจ้างงานใหม่เติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ (ช่วงปลายปี)
วิกฤตเศรษฐกิจเยอรมนีเริ่มเลวร้ายลงไปอีก เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุดของบริษัทเยอรมันทยอยหายไป การส่งออกของเยอรมนีไปยังสหรัฐฯลดลงไป 10% ในไตรมาส 2 ก่อนจะลดลงอีก 16% ในไตรมาสที่ 3 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าภายใต้นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหภาพยุโรป (EU) ที่อัตรา 15%
ปัญหาต่าง ๆ ได้ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อยอดขายในจีนก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน เพราะจีนเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับบริษัทเยอรมัน โดยในไตรมาสที่ 3 การส่งออกไปจีนลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และปัจจุบันจีนอยู่ในอันดับที่ 8 ของตลาดส่งออกของเยอรมนี จากที่อยู่ในอันดับ 2 เมื่อ 5 ปีก่อน
เมื่อตลาดหดหาย ภาคธุรกิจจึงกำลังตอบสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจด้วยการลดจำนวนพนักงาน ตัวเลข ณ วันที่ 30 กันยายน 2025 จำนวนพนักงานในภาคอุตสาหกรรมลดลง 2.2% เมื่อเทียบกับช่วง 12 เดือนก่อนหน้า ตำแหน่งงานหายไปในช่วง 1 ปีมากถึง 120,300 ตำแหน่ง และเมื่อเทียบกับปี 2019 หรือช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด จำนวนพนักงานสุทธิลดลง 271,700 คน หรือลดลง 4.8%
ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นรายอุตสาหกรรม มีเพียงอุตสาหกรรมอาหารที่มีจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 1.8% ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อเทียบกับปีที่ก่อนหน้า การจ้างงานลดลง 6.3% ซึ่งเป็นการลดลงที่รุนแรงกว่าภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยจำนวนตำแหน่งงานหายไปกว่า 48,800 ตำแหน่ง และเมื่อเทียบกับปี 2019 จำนวนตำแหน่งงานลดลง 112,000 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 13% หมายความว่า ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาเกือบ 1 ใน 7 ของตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีหายไป
แจน บรอร์ฮิลเกอร์ จาก EY กล่าวว่า การลดจำนวนพนักงานในอุตสาหกรรมของเยอรมนียังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากยังมีปัจจัยลบหลายปัจจัย ทั้งกำไรที่ลดลง กำลังการผลิตที่มากเกินไป อุปสรรคทางการค้า และตลาดต่างประเทศที่อ่อนแอลง ทำให้น่าจะยังคงมีการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศจะเฟื่องฟู และสายการผลิตของยานยนต์กับอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศจะมีคุณสมบัติที่ซ้ำซ้อนกันอยู่บ้าง แต่ความต้องการบุคลากรก็ยังไม่สูงมากพอที่จะชดเชยปริมาณการจ้างงานที่ลดลงได้
ข้อมูลจากรายงานการสำรวจของบริษัทที่ปรึกษาธุนกิจ PwC ในช่วงก่อนไตรมาส 3 พบว่า มีผู้บริหาร 1 ใน 4 คนที่มองเศรษฐกิจเยอรมนีในอีก 12 เดือนข้างหน้าในเชิงบวก แต่ปัจจุบัน มุมมองของผู้บริหารธุรกิจยิ่งเลวร้ายลง โดยผู้บริหารที่มีมุมมองเชิงบวกลดลงเหลือเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น
แรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้นและความต้องการสินค้าที่อ่อนแอลง กำลังสร้างปัญหาให้กับอุตสาหกรรมวิศวกรรมเครื่องกลหลายบริษัท โดยในไตรมาส 3 อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 80.8% ซึ่งเรียกได้ว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19
จากผลสำรวจล่าสุดของสถาบันเศรษฐศาสตร์เยอรมนี (IW - das Institut der deutschen Wirtschaft) พบว่า บริษัทเยอรมัน 36% ตั้งใจจะลดตำแหน่งงานในปี 2026 และในภาคการผลิต ตัวเลขนี้อยู่ที่ 41% แนวโน้มเชิงลบนี้ได้รับการยืนยันจากดัชนีชี้วัดการจ้างงานของสถาบันเพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยมิวนิค (Ifo – Institut für Wirtschaftsforschung an der Universität München) ที่ลดลง 1 จุดเหลือ 92.5 จุด ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 5 ปีที่ดัชนีต่ำเช่นนี้
จากปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่กำลังพิจารณาจะย้ายฐานการผลิตทั้งหมดหรือบางส่วนออกจากเยอรมนี ดังผลการสำรวจล่าสุดที่จัดทำโดยบริษัทตรวจบัญชีและที่ปรึกษาธุรกิจ ดีลอยท์ (Deloitte) และสหพันธ์อุตสาหกรรมเยอรมนี (BDI - Bundesverband der Deutschen Industrie) ซึ่งสำรวจกลุ่มผู้บริหารธุรกิจที่เกี่ยวของในห่วงโซ่อุปทานภาคการผลิตจำนวน 148 คน พบว่า 68% ตอบแบบว่า มีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตทั้งหมด หรือบางส่วนภายใน 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากประสบปัญหาจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และประมาณ 26% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า พวกเขาวางแผนที่จะย้ายฐานการผลิตไปที่สหรัฐฯ
วูล์ฟกัง นีเดอร์มาร์ค (Wolfgang Niedermark) สมาชิกคณะกรรมการบริหารของสหพันธ์อุตสาหกรรมเยอรมนี (BDI) แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการสำรวจดังกล่าวว่า รัฐบาลเยอรมันต้องเร่งดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเร็วขึ้น ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถลดความเสียเปรียบด้านการแข่งขันได้
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีสูญเสียตลาดไป มีการพัฒนาการเชิงบวกในตลาดสำคัญ ๆ ในสหภาพยุโรป ซึ่งน่าจะเป็นตลาดที่พอจะช่วยเยอรมนีได้
ข้อมูล EY Industry Barometer ของ EY ระบุว่า ในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 การส่งออกของภาคอุตสาหกรรมเยอรมันไปยังประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยการส่งออกไปยังฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 6% และส่งออกไปยังเนเธอร์แลนด์เพิ่มขึ้น 8%
ในรายงานวิเคราะห์ว่า ห่วงโซ่อุปทานที่สั้นลงและการค้าปลอดภาษีภายในสหภาพยุโรป ส่งผลดีต่อบริษัทเยอรมันที่มุ่งเน้นการส่งออก นอกจากนี้ การที่ประเทศและบริษัทในยุโรปลงทุนอย่างหนักในด้านดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีสีเขียว และนโยบาย ‘Green Deal’ ของ EU กำลังเพิ่มความต้องการสินค้าให้กับภาคอุตสาหกรรมหลัก (Key Industry) ของเยอรมนี เช่น วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า และเทคโนโลยีพลังงาน
ขณะเดียวกัน บริบทแวดล้อมทั่วไปในการประกอบธุรกิจก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นกัน ธนาคารกลางยุโรปได้ลดอัตราดอกเบี้ยหลักลงแล้ว 8 ครั้ง นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2024 จากอัตรา 4% เหลือ 2% ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจและประเทศที่มีหนี้สินสามารถเข้าถึงเงินทุนเพื่อการลงทุนใหม่ได้ง่ายขึ้น
บรอร์ฮิลเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมของ EY แสดงความเห็นว่า การที่อุตสาหกรรมของเยอรมนีมีความเป็นสากลสูง และมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรมเยอรมัน
ขณะนี้ บริษัทเยอรมันที่มีขนาดใหญ่ระดับโลก อย่างบริษัทที่จดทะเบียนใน DAX กำลังใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบนี้อย่างเต็มที่ แม้ว่าเยอรมนีจะอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) และภาวะเศรษฐกิจชะงักงันไม่เติบโต (stagnation) ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทส่วนใหญ่ก็ยังคงทำกำไรได้ดี ซึ่ง Handelsblatt คาดการณ์ว่า บริษัท 40 บริษัทหลักที่เป็นผู้กำหนดค่าดัชนี DAX จะมีกำไรสุทธิ 115,000 ล้านยูโร ในปีงบการเงิน 2025 นี้ ซึ่งต่ำกว่าปี 2021 ที่ทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์เพียง 7% เท่านั้น