
แบงก์รัฐ-เอกชนขานรับมติ กนง. ลดดอกเบี้ย 0.25% เร่งปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ บรรเทาภาระผู้กู้
เมื่อวานนี้ (17 ธ.ค. 68) คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 1.50% เหลือ 1.25% โดยให้มีผลทันที เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงินท่ามกลางความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนแรงกดดันจากการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัวต่อเนื่อง รวมถึงความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย
กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวเพียงราว 1.5% พร้อมระบุว่าต้องติดตามความเสี่ยงด้านเงินฝืดอย่างใกล้ชิด แม้ระดับราคาสินค้าโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ แต่เริ่มเห็นสัญญาณอ่อนแรงของอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งอาจสะท้อนกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างทั่วถึง
ล่าสุดในวันนี้ (18 ธ.ค. 68) สถาบันการเงินทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนต่างขานรับมติดังกล่าว โดยทยอยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงตาม เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ และเสริมแรงส่งให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิผลมากขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจยังเผชิญความเปราะบาง
ธนาคารและสถาบันการเงินที่ได้ประกาศขานรับนโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. และทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แล้ว มีดังนี้
นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในปี 2569 และต่อเนื่องในปี 2570 มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง ธนาคารออมสินจึงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทสูงสุด 0.25% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราลดดอกเบี้ยสูงสุดตามมติ กนง. เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและเป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกค้าของธนาคาร
โดยอัตราดอกเบี้ย MOR ลดลง 0.25% ต่อปี MLR ลดลง 0.15% ต่อปี และ MRR ลดลง 0.10% ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ลดเหลือ 5.845% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ (MLR) ลดเหลือ 6.175% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อย (MRR) ลดเหลือ 6.195% ต่อปี
โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทของธนาคาร (MOR/MLR/MRR) ยังคงต่ำสุดเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 6 แห่ง
สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเดิม เพื่อรักษาประโยชน์ของผู้ฝากเงินตามภารกิจส่งเสริมการออมของธนาคาร
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.50 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันทีนั้น ธ.ก.ส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จึงพร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและสอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างยั่งยืน
ธ.ก.ส. พร้อมช่วยบรรเทาภาระหนี้สินให้กับผู้ประกอบการ SMEs ภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ รวมถึงช่วยลดผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา ให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถฟื้นตัวและดำเนินงานต่อได้ตามปกติในภาวะที่เศรษฐกิจยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ธ.ก.ส. จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุดร้อยละ 0.25 ต่อปี ประกอบด้วย 1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทเงินเกินบัญชี (MOR) คงเหลือร้อยละ 6.125 ต่อปี 2) อัตราดอกเบี้ยลูกค้านิติบุคคลชั้นดี (MLR) คงเหลือร้อยละ 6.025 ต่อปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ได้ออกมาตรการดูแลด้านหนี้สินอย่างครบวงจรให้กับเกษตรกรลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรการ พักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งมีผู้เข้าร่วมมาตรการเฟส 3 จำนวน 1.35 ล้านราย ต้นเงินกว่า 203,000 ล้านบาท และได้ดำเนินการฟื้นฟูอาชีพให้กับลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดการประกอบอาชีพให้กับผู้เข้าร่วมโครงการให้สามารถลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ระหว่างการเข้าร่วมมาตรการ รวมถึง ธ.ก.ส. ได้มีการสนับสนุนเงินทุนผ่านสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการประกอบอาชีพของเกษตรกร ทั้งรายย่อยและผู้ประกอบการเกษตร อาทิ สินเชื่อแทนคุณ สินเชื่อเงินด่วนสิบหมื่น สำหรับสมาชิก อสม. และ อสส. วงเงินกู้ รายละไม่เกิน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ต่อเดือน และสินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ เพื่อสร้างรายได้คู่ขนานจากการทำการเกษตร อัตราดอกเบี้ย 5 ปีแรก MRR - 2 ต่อปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศหรือ Call Center 02 555 0555
ธนาคารกสิกรไทยเข้าใจและตระหนักถึงภาระทางการเงินของลูกค้าภาคธุรกิจและลูกค้าบุคคลที่ต้องเผชิญท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังเติบโตช้า จึงพร้อมขานรับมติของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยทันที ด้วยการส่งต่อความช่วยเหลือไปถึงลูกค้าอย่างเป็นรูปธรรม ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง ลดภาระค่าใช้จ่ายทางการเงิน และเป็นแรงหนุนสำคัญให้ลูกค้าสามารถก้าวต่อไปได้อย่างมั่นใจ อีกทั้งการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้แก่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจเพื่อให้ลูกค้าสามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มกำลัง
นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มขยายตัวได้ในกรอบจำกัด จากแรงกดดันด้านการบริโภคและการส่งออกที่ชะลอตัว ภาคเอกชนที่ชะลอการใช้จ่ายและการลงทุนจากภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารเชื่อมั่นว่า การดำเนินมาตรการเชิงรุกด้วยการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยทันที ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินและสนับสนุนประสิทธิผลของนโยบายการเงินในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งช่วยเหลือและดูแลลูกค้าของธนาคาร เพื่อให้ประเทศสามารถฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ อันจะนำไปสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในระยะยาว
โดยธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อดูแลลูกค้าแต่ละกลุ่ม มีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ดังนี้
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารได้ปรับลดในอัตรา 0.05%- 0.10% ซึ่งเป็นการปรับลดในอัตราที่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสำหรับลูกค้าท่านใดที่กำลังเผชิญปัญหาหรือได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ธนาคารพร้อมรับฟังและให้ความช่วยเหลือ โดยลูกค้าสามารถติดต่อผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคารได้ทุกช่องทาง
ธนาคารไทยพาณิชย์ ขานรับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี พร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.05% - 0.10% ต่อปี แต่จะยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของลูกค้าบุคคลไว้ เพื่อสนับสนุนทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ด้วยการบรรเทาภาระทางการเงินของลูกค้าบุคคลและธุรกิจ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันลูกหนี้กลุ่มเปราะบางยังมีหนี้สูง ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ทั้งผลกระทบของมาตรการค้าของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และแรงกดดันต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยบรรเทาภาระการชำระหนี้และเสริมสภาพคล่อง รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิผลมาตรการทางการเงินของภาครัฐ ที่มุ่งลดความเปราะบางของภาคครัวเรือนและช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถปรับตัวเพื่อดำเนินธุรกิจได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง MLR, MOR และ MRR ลง 0.10% - 0.25% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางนโยบายการเงินและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารได้ปรับลดลง 0.05% - 0.10% ต่อปี โดยธนาคารไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของลูกค้าบุคคลธรรมดาลง เพื่อช่วยเหลือผู้ฝากเงินในภาวะดอกเบี้ยต่ำ
ธนาคารยังคงพร้อมสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยบรรเทาภาระทางการเงิน ควบคู่ไปกับความช่วยเหลืออื่นๆ ที่ธนาคารได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะขอรับคำปรึกษา สามารถติดต่อได้ที่ SCB Call Center 02-777-7777
นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ เอ็มแอลอาร์ (MLR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) เป็น 6.45% ต่อปี เอ็มโออาร์ (MOR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) เป็น 6.60% ต่อปี และ เอ็มอาร์อาร์ (MRR) หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) เป็น 6.60% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ต้องการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวและมีความเสี่ยงมากขึ้น รวมถึงสนับสนุนประสิทธิผลของมาตรการทางการเงินและนโยบายของภาครัฐ
นอกจากนี้ ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 0.05 - 0.10% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “กรุงศรีพร้อมดูแลและให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการเติบโตและส่งเสริมความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม”
กรุงศรีปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยใหม่ดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่มีความเปราะบางและความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากความท้าทายรอบด้าน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และสภาพคล่องของภาคธุรกิจ ธนาคารจึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางการเงินให้แก่ลูกค้า โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ผู้ประกอบธุรกิจอิสระ และผู้ประกอบการ SME สนับสนุนการประคองธุรกิจ การจ้างงาน และการดำรงชีวิตของประชาชนให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง ทั้งยังสอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และช่วยเสริมประสิทธิผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ประกอบด้วย
ทั้งนี้ ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยฝาก 0.05%-0.10% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ปรับลดน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งนี้ เป็นแนวทางเพิ่มเติมในการดูแลและช่วยเหลือลูกค้าควบคู่กับมาตรการทางการเงินอื่น ๆ ที่ธนาคารได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ แผ่นดินไหว น้ำท่วม
โดยล่าสุดมีมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและยกเว้นดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยในเขตพื้นที่สาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) ในภาคใต้ รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน อาทิ โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” และเตรียมพร้อมดำเนินมาตรการยกระดับศักยภาพธุรกิจตามแนวทาง Reinvent Thailand พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และมาตรการสนับสนุนสินเชื่อใหม่ โดยกลไกค้ำประกันสินเชื่อ SME ของ ธปท. ในระยะถัดไป เพื่อบรรเทาภาระหนี้และเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
ธนาคารยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นมากกว่าสถาบันการเงิน ยืนหยัดเดินหน้าเคียงข้างลูกค้าและประชาชนในทุกสถานการณ์ เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถฟื้นตัว ปรับตัว และก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ทีทีบีพร้อมอยู่เคียงข้างและให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ลูกค้าทุกกลุ่มในทุกสถานการณ์มาโดยตลอด
ขณะที่ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น จากความท้าทายรอบด้าน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และสภาพคล่องของภาคธุรกิจ ทีทีบีจึงพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุด 0.25% ต่อปี สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย MLR MOR และ MRR มีผลตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป สอดคล้องกับมติของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับลูกค้าบุคคลและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำที่ยังมีความเปราะบาง ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ เชื่อว่าจะช่วยประคองธุรกิจ การจ้างงาน และการดำรงชีวิตของประชาชนให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
นอกจากความช่วยเหลือด้านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารยังคงตอกย้ำปีแห่งการช่วยเหลือลูกหนี้สนับสนุนลูกค้าสินเชื่อเพิ่มเติมผ่านโปรแกรม “ทีทีบี ผ่อนดี.. มีรางวัล” ที่ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่มีประวัติผ่อนดี ซึ่งถือเป็นลูกค้าอีกกลุ่มที่สำคัญและยังไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือ โดยโปรแกรมนี้ให้ความช่วยเหลือครอบคลุมทั้งคนผ่อนดีที่มีบ้าน และมีรถ ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยลงในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์จากโปรแกรมนี้เพิ่มขึ้น
ทีทีบียังพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนมีความมุ่งมั่นส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถจัดการภาระหนี้ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนผ่านโซลูชันรวบหนี้ โซลูชันโอนยอดหนี้ โครงการคุณสู้ เราช่วย ควบคู่กับแนะนำการให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อการจัดการหนี้ที่สอดคล้องกับรายได้และความสามารถในการชำระคืน ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ตามเป้าหมายของธนาคารที่มุ่งมั่นทำให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งวันนี้ และอนาคต
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว : สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3% - 4% ต่อปี สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MRR-4.115% ถึง MRR-3.515% ต่อปี อัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 23 ธ.ค. 68 = 7.205% ต่อปี
สินเชื่อรถแลกเงิน แบบไม่โอนเล่ม อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 13% - 24% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ | เงื่อนไขการสมัครและอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกําหนด | รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่เว็บไซต์ www.ttbbank.com
นางวิมลรัตน์ ปิยสถาพรพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่มงานการเงิน ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เหลือ 1.25% ต่อปี เพื่อให้ภาวะการเงินมีความผ่อนคลาย ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ไอแบงก์ ขานรับนโยบายด้วยการปรับลดอัตรากำไรสินเชื่อทุกประเภท 0.10% เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง ทั้งลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ และลูกค้าสินเชื่ออุปโภคบริโภครายย่อย
โดยการปรับลดอัตรากำไรสินเชื่อในครั้งนี้ ประกอบด้วย การปรับอัตรากำไรสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (SPR) จากเดิม 7.65% ต่อปี ลดลง 0.10% เหลือ 7.55% ต่อปี อัตรากำไรสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทสินเชื่อแบบมีกำหนดระยะเวลา (SPRL) จาก 7.80% ต่อปี ลดลง 0.10% เหลือ 7.70% ต่อปี และอัตรากำไรสินเชื่อสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (SPRR) จาก 8.05% ต่อปี ลดลง 0.10% เหลือ 7.95% ต่อปี
นอกจากนี้ ไอแบงก์ยังได้เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือสำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติอุทกภัยภาคใต้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวครอบคลุมการพักชำระเงินต้น และไม่คิดกำไรใน 12 เดือนข้างหน้า พร้อมทั้งให้สินเชื่อเพิ่มเติมด้วยอัตรากำไร 0% ในปีที่ 1 ด้วยเงื่อนไขตามมาตรการ ซึ่งขณะนี้ได้เปิดให้ลูกค้าแจ้งความจำนงแล้ว โดยจะเร่งให้ความดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าว โดยถือเป็นภารกิจสำคัญที่จะยืนหยัดให้ความช่วยเหลือตามมาตรการของกระทรวงการคลัง เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจและคนไทยก้าวข้ามสถานการณ์อันยากลำบากครั้งนี้ไปด้วยกัน
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2568 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปีนั้น
ทั้งนี้ SME D Bank พร้อมขานรับนโยบายดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ลดภาระต้นทุนทางการเงิน โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.15% ดังนี้
นายพิชิต กล่าวเสริมว่า การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 ในรอบปี 2568 สะท้อนความตั้งใจของธนาคารในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ภัยธรรมชาติ และความผันผวนทางเศรษฐกิจ ให้สามารถประคับประคองธุรกิจต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารยังคงตรึงราคาไว้เท่าเดิม เพื่อให้เป็นทางเลือกด้านการออมที่ให้ผลตอบแทนเหมาะสมแก่ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ
นอกจากการลดดอกเบี้ยแล้ว SME D Bank ยังเร่งขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลตามมาตรการ “Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย” วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ 3% ต่อปี (คงที่ 3 ปีแรก) ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี ผ่าน 2 โครงการหลัก 1.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” วงเงินกู้สูงสุด 1 ล้านบาท และ2.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME” วงเงินกู้สูงสุด 30 ล้านบาท
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย.ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.25% ต่อปี คงเหลือ 5.35% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด และนับเป็นครั้งที่ 4 ของปี เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ บสย.จ่ายเคลมอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดภาระทางการเงินให้กับลูกหนี้ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
ตลอดเวลาที่ผ่านมา บสย.ยืนหยัดในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะการลดภาระทางการเงิน เพื่อให้ SMEs สามารถประคับประคองธุรกิจ เดินหน้าต่อได้ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน ผลกระทบที่เกิดจากสงครามการค้า และเหตุพิพาทชายแดน ตลอดจนสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น
ปัจจุบัน บสย.มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม ผ่านมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” ที่ออกแบบเพื่อรองรับกับความสามารถในการชำระหนี้ จุดเด่นคือ ยืดหนี้ยาวสูงสุด 7 ปี ช่วย SMEs “ผ่อนน้อย เบาแรง” พร้อม “ตัดเงินต้น ก่อนตัดดอก” และคิดอัตราดอกเบี้ย 0% พร้อมลดต้นสูงสุด 30%
สำหรับลูกหนี้ที่ต้องการ “ปลดหนี้” โดยให้ความช่วยเหลือครอบคลุมลูกหนี้ทุกกลุ่ม รวมถึงลูกหนี้ “กลุ่มเปราะบาง” ผู้ประกอบการรายย่อย Micro SMEs พ่อค้า แม่ค้า อาชีพอิสระ ที่มีหนี้คงเหลือไม่เกิน 2 แสนบาท เพื่อต่อลมหายใจให้ลูกหนี้สามารถกลับมาเดินหน้าต่อได้ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ ในโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ที่มุ่งช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยปลดหนี้ แก้หนี้อย่างยั่งยืน