Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน แก้อย่างไรให้ถูกทางและยั่งยืน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน แก้อย่างไรให้ถูกทางและยั่งยืน

11 ต.ค. 68
21:13 น.
แชร์

ประเทศไทยมีความเหลื่อมสูงในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน ซึ่งมีข้อมูลเก่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนระบุว่า ผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในประเทศ มีพื้นที่ถือครองมากกว่า 600,000 ไร่ ขณะที่คนอีกมากมายไม่มีที่ดินทำกิน 

ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดินจึงเป็นหนึ่งปัญหาใหญ่ของไทยที่ต้องแก้

เป้าหมายของการแก้ปัญหานั้นชัดเจนอยู่แล้วว่า ต้องลดความกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน กระจายออกไปให้ประชาชนมีที่ดินทำกินมากขึ้น 

แต่วิธีการต้องทำอย่างไรให้ถูกทางและยั่งยืน ? 

SPOTLIGHT ชวนหาแนวทางการแก้ปัญหาจากเวทีเสวนา “Geo-Insights: Pathways from Land Disparity to Sustainability” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) โดยมี กานดาศรี ลิมปาคม รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และ ดร.กลย์วัฒน์ สาขากร ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดิน (สคทช.) ร่วมเสวนาอย่างเข้มข้น 

ความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในไทยสูงมาก

ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทย นับว่าเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำขั้นสูง ซึ่งสูงกว่าความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้มาก 

ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งศึกษาวิจัยเรื่อง ‘การกระจุกตัวของความมั่งคั่งในสังคมไทย’ เมื่อปี 2556 ยกข้อมูลจากการศึกษาซึ่งใช้ข้อมูลที่มีล่าสุดในปี 2555 มาฉายให้เห็นภาพว่า ในประเทศไทยมีการถือครองที่ดินที่มีเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดิน 95 ล้านไร่ โดยมีผู้ถือครอง จำนวน 15,900,047 ราย ค่าสัมประสิทธิ์อยู่ที่ 0.89 ซึ่งเกือบจะถึง 1 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินสูงมาก 

เมื่อแบ่งกลุ่มผู้ถือครองที่ดินออกเป็น 10 กลุ่ม พบว่ากลุ่มที่ถือครองที่ดินมากที่สุด 10% บนสุด ถือครองที่ดิน 61% ของที่ดินที่มีโฉนดทั้งหมดในประเทศประเทศไทย ส่วนอีก 90% ที่เหลือถือครอง 40% และกลุ่ม 10% บนสุดถือครองที่ดินสูงกว่า 10% ล่างสุด ประมาณเกือบ 900 เท่า

ผู้ที่ถือครองที่ดิน ครึ่งหนึ่ง (50%) มีขนาดพื้นที่ถือครองไม่เกิน 1 ไร่ และ 22% มีขนาดพื้นที่ถือครอง 1-5 ไร่ ส่วนอีก 28% มีขนาดพื้นที่ถือครองมากกว่า 5 ไร่  

ผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในประเทศ มีพื้นที่ถือครอง 631,263 ไร่ ส่วนผู้ที่ถือครองที่ดินมากอันดับ 2 มีพื้นที่ถือครองประมาณ 300,000 ไร่ และอันดับ 3 มีพื้นที่ถือครองประมาณ 270,000 ไร่ ส่วนผู้ที่ถือครองที่ดินน้อยที่สุด มีพื้นที่ถือครอง 1 ตารางวา

แนวทางลดกระจุก เพิ่มกระจาย 

ผศ.ดร.ดวงมณีชี้ให้เห็นสาเหตุของปัญหาว่า ที่ดินเอกชนมีปัญหาการกระจุกตัวของการถือครอง เพราะประเทศไทยไม่มีการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน ไม่ว่าใครจะถือครองที่ดินมากขนาดไหนก็จ่ายเพียงภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งอัตราภาษีต่ำมากๆ ต่างจากในต่างประเทศที่มีการเก็บภาษีที่ดิน ทำให้มีต้นทุนในการถือครองที่ดิน คนจึงไม่อยากถือครองที่ดินไว้มาก 

ดังนั้น ผศ.ดร.ดวงมณีจึงเสนอว่า ถ้าอยากให้มีการกระจายการถือครองที่ดินเอกชน ต้องมีการจัดเก็บภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าตามจำนวนการถือครอง ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้มีการผลักดันกฎหมายนี้ออกมา แต่ในช่วงที่มีการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีหลายฝ่ายที่เสนอการจัดเก็บภาษีที่ดินแบบแปลงรวม ซึ่งอาจจะจัดเก็บภาษีที่ดินสำหรับคนที่ถือครองที่ดินมากกว่า 50 ไร่ ส่วนคนที่ถือครองที่ดินจำนวนไม่มากให้จ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามเดิม 

นอกจากปัญหาการกระจุกตัวในการถือครองที่ดินเอกชนแล้ว ผศ.ดร.ดวงมณีชี้ว่า มีอีกปัญหาหนึ่งคือ ที่ดินของรัฐทับซ้อนกับพื้นที่เอกชน ซึ่งอาจจะเกิดจากเอกชนอยู่ในพื้นที่มาก่อนแล้วมีการประกาศเขตพื้นที่ป่าสงวน หรืออุทยานแห่งชาติทับพื้นที่ไปในภายหลัง

อีกทางหนึ่งมีปัญหาประชาชน-เอกชนบุกรุกพื้นที่รัฐ ซึ่งผศ.ดร.ดวงมณีแสดงความเห็นว่า ปัญหาชาวบ้านบุกรุกพื้นที่รัฐสะท้อนปัญหาว่ามีการกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน มีคนประสบปัญหาเข้าไม่ถึงที่ดิน ภาครัฐต้องช่วยบริหารจัดการให้คนที่ไม่มีที่ดินทำกินสามารถเข้าถึงที่ดินได้ 

ผศ.ดร.ดวงมณีเสนอแนะแนวทางว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีบทบาทแก้ปัญหา โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางจับคู่การใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยให้ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินสามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินของผู้ที่ถือครองที่ดินจำนวนมากแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ดีกว่าปล่อยให้ปลูกกล้วยหรือมะนาว

“เราเห็นว่าจากปัญหาความเหลื่อมล้ำการถือครองที่ดินค่อนข้างสูง กลุ่ม 10% บนถือครองกว่า 60% ของที่ดินที่มีโฉนดทั้งหมด ทำให้คนที่ต้องการใช้ที่ดินจริงๆ ไม่สามารถเก็บเงินซื้อที่ดินได้ ภาครัฐควรเข้ามาให้การดูแล ทำเป็นโฉนดชุมชนให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันดูแลรักษาพื้นที่ตรงนั้น ก็จะมีความยั่งยืนมากขึ้น เพราะถ้าให้เป็นรายบุคคล เมื่อที่ดินราคาแพงหรือทำประโยชน์ได้มาก อาจจะมีนายทุนเข้ามาซื้อที่ดินตรงนั้น ฉะนั้นต้องให้ชุมชนร่วมกันจัดการดูแล

“ประเทศไทยมีปัญหาหลายด้าน แม้ว่าการกระจายรายได้มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ถ้าเทียบกับการพัฒนาหลายสิบปีที่ผ่านมาเราก็ลดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ลงได้ไม่มาก มิหนำซ้ำความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน เรายังมีการกระจุกตัวสูง ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินและทรัพย์สินยังเป็นปัญหาสำคัญของไทย ที่เราต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนและตั้งใจแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง” ผศ.ดร.ดวงมณี ผู้ศึกษาเรื่องการกระจุกตัวของความมั่งคั่งในสังคมไทยกล่าว 

นอกจากความเหลื่อมล้ำ ยังมีปัญหาที่ดินใช้ประโยชน์ไม่ได้

ภายใต้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน ปัญหาชาวบ้านไม่มีที่ทำกิน ปัญหาคนถือครองที่ดินมากแต่ไม่ใช้ประโยชน์ ปล่อยให้ที่ดินรกร้าง หรือปลูกกล้วยปลูกอ้อยเพื่อพรางตัวเป็นพื้นที่เกษตร 

รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เจาะลึกลงไปที่ปัญหาคนมีที่ดินในการถือครองแต่ไม่ใช้ประโยชน์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าเราจะเห็นภาพว่าผู้ถือครองที่ดินในเมืองกรุงยังไม่ใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีศักยภาพ จึงเกิดกฎหมายที่ผลักดันให้คนถือครองที่ดินเร่งใช้ประโยชน์ที่ดิน แต่อีกด้านหนึ่ง ปัญหาในหลายๆ พื้นที่ คือ ที่ดินยังไม่มีศักยภาพพอที่จะนำมาใช้ประโยชน์ หากนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ในเวลาที่ที่ดินผืนนั้นยังไม่มีศักยภาพ อาจเสียมากกว่าได้

รศ.ดร.อดิศร์อธิบายว่า มีที่ดินจำนวนมากในประเทศไทยอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ยังไม่มีสาธารณูปโภครองรับ ถนนยังเป็นถนลูกรัง ยังไม่มีน้ำ ยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง นำมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่ได้เลย หรือแม้แต่จะใช้ทำการเกษตร ที่ดินจำนวนมากก็อาจจะไม่เหมาะสำหรับทำการเกษตรด้วย เพราะพื้นดินเป็นหิน นอกจากนั้น ยังมีที่ดินที่อาจจะไม่ได้ขาดแคลนสาธารณูปโภค แต่มีมูลค่าน้อยหรือใช้ประโยชน์ได้ยาก คือ ที่ดินที่รูปไม่สวย ที่ดินตาบอด ที่ดินที่อยู่ใต้สะพานข้าม เป็นต้น 

“เจ้าของที่ดินทุกคนอยากนำที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ที่ดินทุกแปลงที่สามารถใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ เป็นสัจธรรมว่า ประโยชน์ของที่ดินมีมูลค่าลดหลั่นลงตามระดับความเจริญของพื้นที่ ถ้าสาธารณูปโภคยังไปไม่ จะใช้ประโยชน์ก็ไม่ได้” 

ดร.อดิศร์ชี้ให้เห็นปัญหาต่อไปว่า เมื่อที่ดินจำนวนมากในประเทศไทยไม่สามารถใช้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจได้ แต่กฎหมายกำหนดว่าถ้าถือครองที่ดินไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น  จึงทำให้เกิดพฤติกรรมทางลบคือ เจ้าของที่ดินแสร้งว่าใช้ประโยชน์แล้ว เช่น มีการเทปูน ทำลานจอดรถ ปลูกกล้วย ปลูกมะนาว เจ้าของที่ดินมีต้นทุนในการใช้งานที่ดินแบบปลอมๆ ทำให้มูลค่าเศรษฐกิจติดลบ

ด้วยปัญหาดังกล่าว แนวทางแก้ปัญหาในมุมมองของ ดร.อดิศร์ คือ “เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะแก้ปัญหา โดยการนำสาธารณูปโภคเข้าไปให้ถึงที่ดิน และมีการจัดรูปที่ดินให้สวยขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้มากขึ้น”   

นอกจากนั้น ดร.อดิศร์ แสดงความเห็นต่อข้อเสนอแนะที่ว่าควรให้ผู้ที่ถือครองที่ดินมากแบ่งให้คนไม่มีที่ดินทำกินเข้าไปใช้ประโยชน์ โดย ดร.อดิศร์มองมุมต่างว่า เจ้าของที่ดินไม่อยากปล่อยที่ดินให้เช่า เพราะเกรงว่าหากผู้เช่าไม่ยอมย้ายออก จะจัดการปัญหายาก เนื่องจากกฎหมายไม่ได้คุ้มครองเจ้าของที่ดินมากเท่าที่คุ้มครองผู้เช่า

ข้อมูลภูมิสารสนเทศ ตัวช่วยแก้ปัญหา

จากปัญหาความท้าทายต่างๆ ที่ว่ามา สิ่งที่ช่วยในการแก้ปัญหาได้มาก คือ ข้อมูลภูมิศาสตร์สนเทศจาก สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการที่ดินสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายกระบวนการทำงาน 

กานดาศรี ลิมปาคม รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กล่าวว่า ปัญหาความเสื่อมโทรมหรือความรกร้างของที่ดินเป็นความสูญเสียของประเทศ เพราะที่ดินที่มีอยู่ไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มศักยภาพ ในขยะที่ยังมีคนบางกลุ่มยังไม่สามารถเข้าถึงหรือใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ 

รอง ผอ. GISTDA อธิบายว่า ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ สามารถนำข้อมูลภูมิสารสนเทศเข้าไปช่วยในการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินได้ โดยการใช้ดาวเทียมหรือภูมิศาสตร์สนเทศติดตามสุขภาพระบบนิเวศน์ของประเทศว่าเป็นอย่างไร มีความเสื่อมโทรมของป่าไม้หรือที่ดินหรือไม่ ติดตามว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินยังเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง รวมถึงติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติ ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง ซึ่งอาจทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนั้น ยังสามารถรวบรวมข้อมูลในเชิงเศรษฐกิจและสังคมเข้ามารวมกับข้อมูลดาวเทียมได้ เพื่อให้เห็นข้อมูลในพื้นที่หลายมิติขึ้น

“สิ่งที่ข้อมูลภูมิสารสนเทศจะช่วยเราได้ คือ ช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเต็มศักยภาพ ช่วยในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจให้ inclusive ลดช่องว่าง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ช่วยรักษาสภาพแวดล้อมให้อยู่กับประเทศเราไปได้อย่างยาวนาน…” กานดาศรี ลิมปาคม รองผู้อำนวยการ GISTDA บอกความมุ่งหวัง

รัฐทำอะไรบ้างเพื่อแก้ปัญหา ? 

ฝั่งภาครัฐซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการแก้ปัญหา มีการตั้งหน่วยงานที่ชื่อว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดิน (สคทช.) ขึ้นมาเมื่อปี 2564 เพื่อทำหน้าที่ (1) อนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้มีระบบนิเวศที่สมดุล (2) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ทรัพยากรดินให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (3) ทำให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม ให้ประชาชนมีสิทธิ์เข้าถึงที่ดินในส่วนที่เป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพ (4) พัฒนากลไกการเรียนรู้ในการบริหารจัดารที่ดิน

ดร.กลย์วัฒน์ สาขากร ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดิน (สคทช.) กล่าวจากมุมของหน่วยงานที่รับผิดชอบแก้ปัญหาว่า เป้าหมายการแก้ปัญหานี้ คือ ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ ต้องการนำที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องใช้ให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในมุมเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมด้วย 

“มุมมองด้านความเหลื่อมล้ำ สคทช.มองว่า การเข้าถึงที่ดิน การมีสิทธิใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ประชาชนที่ควรมี เพื่อใช้ที่ดินในการพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเองได้” 

ดร.กลย์วัฒน์บอกถึงปัญหาจากมุมหน่วยงานที่ทำงานว่า ประเทศไทยมีปัญหาเอกภาพในการจัดการทรัพยากรที่ดิน มีหน่วยงานดูแลบริหารจัดการที่ดินหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานทำงานภายใต้กฎหมายของตัวเอง การบูรณาการเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย อีกทั้ง ยังไม่มีภาพรวมนโยบายการบริหารจัดการที่ดินของประเทศ จึงเป็นที่มาของการก่อตั้ง สคทช.เพื่อทำหน้าที่จัดทำนโยบายระดับประเทศในการบริหารจัดการที่ดิน กำหนดทิศทางการใช้ที่ดินของประเทศ แล้วนำไปสู่แนวทางในการปฏิบัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานสอดคล้องกัน

อีกปัญหาหนึ่งที่เกี่ยวโยงกัน คือ ประเทศไทยมีที่ดินประมาณ 320.69 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ซ้อนทับกันจำนวนมาก ถ้านำเอกสารสิทธิทั้งหมดมารวมกันโดยไม่คำนึงถึงพื้นที่ซ้อนทับ จะมีพื้นที่รวม 540 ล้านไร่ แสดงให้เห็นว่าพื้นที่มากกว่าครึ่งมีการทับซ้อนกัน ซึ่งทำให้มีปัญหาในการใช้ประโยชน์ที่ดิน เพราะแต่ละหน่วยงานที่กำกับดูแลมีหน้าที่ต่างกัน มีวัตถุประสงค์ในการจัดการที่ดินต่างกัน บางหน่วยงานต้องการใช้ประโยชน์ที่ดิน แต่บางหน่วยงานมีหน้าที่อนุรักษ์ ทำให้เสียโอกาสในการใช้ประโยชน์พื้นที่ซ้อนทับเหล่านั้นให้เต็มศักยภาพ 

ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สคทช.บอกถึงงานที่ สคทช.ได้ทำเพื่อให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมว่า สคทช.ได้จัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเรียกว่า ‘ที่ดิน ทคช.’ โดยมีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้าไปวางระบบโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ ทั้งไฟฟ้า ประปา ระบบชลประทาน และมีการอบรมการทำเกษตร ไปจนถึงการหาตลาดให้เพิ่มมูลค่าผลผลิต 

ทั้งนี้ การดำเนินโครงการจัดสรรที่ดินจะมีระบบจัดการและตรวจสอบ โดยใช้เทคโนโลยีของ GITSDA ติดตามใช้ประโยชน์ที่ดินว่าใช้ตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หากมีการเปลี่ยนรูปแบบการประโยชน์ จะนำมาวิเคราะห์ว่าภาครัฐส่งเสริมพัฒนาไม่ตรงจุดที่ชาวบ้านต้องการหรือไม่ หรือมีแรงจูงใจอื่นใดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ประโยชน์ ขณะเดียวกัน ระบบนี้ยังช่วยตรวจสอบสิทธิการได้รับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของเกษตรกรผู้ที่ได้รับสิทธิในพื้นที่ด้วย

ในอีกทางหนึ่ง ระบบนี้จะสามารถรับรองเกษตรกรในพื้นที่ คทช.และพื้นที่อื่นๆ ได้ว่าเกษตรกรทำการเกษตรในพื้นที่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้ตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งจะเป็นใบผ่านทางให้สามารถส่งออกสินค้าเกษตรไปยังสหภาพยุโรปที่จะมีการบังคับใช้กฎ EUDR ห้ามนำเข้าสินค้าที่ผลิตโดยมีการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงตลาดอื่นๆ ที่อาจมีกฎหมายคล้ายกันนี้ออกมาในอนาคต 

นอกจากนั้น ยังมีการใช้ข้อมูลพื้นที่ฮอตสปอตในพื้นที่ คทช. จาก GISTDA ด้วย เพื่อกำหนดมาตรการในการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางด้วย 

“ข้อมูลเหล่านี้นำมาเป็นฐานในการกำหนดนโยบายของเรา เพื่อที่เราจะทำให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน นำไปสู่การใช้ประโยชน์ที่ดินให้เต็มศักยภาพ กระจายการถือครองที่ดินให้เหมาะสมยิ่งๆ ขึ้นไป” 

ส่วนเป้าหมายการส่งเสริมให้เอกชนที่ถือครองที่ดินจำนวนมากใช้ประโยชน์ที่ดินให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ดร.กลย์วัฒน์บอกว่า สคทช.จะมีการกำหนดมาตรการกระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาพัฒนามาตรการ

แชร์
ความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน แก้อย่างไรให้ถูกทางและยั่งยืน