โลกเปลี่ยน คนปรับ Global Adaptation ปรับอย่างไรให้เข้ากับโลกวันข้างหน้า ทำไมเราต้องปรับตัวโดยไม่ทิ้งกลุ่มคนเปราะบางไว้ข้างหลัง
ในวันที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้หลายประเทศมีการปรับตัวและตระหนักรู้รวมถึงประเทศไทยด้วย การลดก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การปรับตัวทางธุรกิจขององค์กรต่างๆ ในวันนี้ควรทำอย่างไร ผ่านมุมมองผู้เชี่ยวชาญในระดับนโยบาย โดย คุณวราวุธ ศิลปอาชา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บนเวที SX Talk ภายในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ดำเนินรายการโดย คุณมนต์ชัย วงษ์กิตติไกรวัล Senior Consultant, Future-ready Management, BRANDi and Companies
คุณวราวุธ กล่าวว่า ไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญหรือหาเรื่องทำงานจนมันเชื่อมกัน สมัยที่ตนทำงานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วมาต่อที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทำให้เห็นชัดเจนว่ามิติเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate change) มีสองขา เวลาพูดถึง Climate change ขาแรกเรามักจะพูดถึงเรื่องมาตรการลดระดับความรุนแรง ลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่พูดถึงหรือยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญคือคำว่า Adaptation หรือการปรับตัวของคนและสิ่งมีชีวิตที่จะต้องอยู่ภายใต้นิมนอร์มการเปลี่ยนไปของโลกใบนี้ ที่อยู่ๆ ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา น้ำท่วม ดินถล่มโคลนถล่ม อีกสองสามปีตามมาด้วยความร้อนอย่างมหาศาล แล้วคนเราจะปรับตัวกันอย่างไร โดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบาง เช่น คนสูงอายุ คนพิการ เด็กเล็ก หรือแม้แต่กลุ่มผู้ด้อยโอกาส คนกลุ่มนี้ทั้งฐานะสภาพความเป็นอยู่ทำให้เขาปรับตัวได้ยากและยังไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องปรับตัว ฉะนั้นคนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มแรกที่ภาครัฐจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเขาก่อนในการปรับตัว และให้ความรู้กับเขาว่าปรับตัวเพื่ออะไร
"มนุษย์เราวันนี้คงจะต้องตั้งคำถามก่อนว่า เราจะสู้กับธรรมชาติหรือเราจะอยู่กับธรรมชาติ ผมยังไม่เคยเห็นใครหรือประเทศไหนที่เอาชนะธรรมชาติได้ ผมเห็นเพียงแค่ว่าเรียนรู้ที่จะปรับตัวแล้วก็ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับธรรมชาติกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ประเทศไทยก็เช่นกัน เราจะเจอปริมาณน้ำที่เยอะขึ้นทุกปี เจอสภาพการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ฉะนั้นเราจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน จะอยู่อย่างไร บางครั้งสิ่งง่ายที่สุดคือย้อนกลับไปดูว่าคนไทยเราเมื่อหลายสิบปีก่อนอยู่กันอย่างไร"
คุณวราวุธ กล่าวว่าสมัยที่ตนอยู่ ทส. เคยมีนโยบาย Everyday Say No to Plastic Bags ก็จะมีเสียงสะท้อนกลับมาว่า ไปตลาดซื้อปลาซื้อปลาหมึกมากิน เขาไม่มีถุงพลาสติกให้แล้วจะซื้อกลับบ้านได้อย่างไร ตนเองก็เกิดคำถามว่าแล้วสมัยก่อนที่จะมีถุงพลาสติก คนไทยสมัยก่อนกินปลากินปลาหมึกกันอย่างไร เมื่อก่อนคนไทยใช้ใบตองใช้ใบไม้มาห่อ หรือแม้แต่บ้าน เช่นที่จังหวัดสุพรรณบ้านของตน ชาวบ้านก็ยังสร้างบ้านเป็นบ้านยกทรงสูงอยู่จากใต้ถุน 2-3 เมตร เพราะเวลาน้ำมา น้ำจะไม่บ้านแล้วเขาอยู่กันได้ นี่คือการที่เราปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ
คุณวราวุธกล่าวว่า "ต้องอยู่กับมันให้ได้" พร้อมกับยกตัวอย่างบ้านของคนไทยสมัยก่อน อาศัยอยู่ภายในบ้านที่หลังคามุงจาก แต่วันนี้เปลี่ยนมาเป็นหลังคาสังกะสี เมื่อก่อนอุณหภูมิ 30 กว่าเราต่างรู้สึกว่ามันร้อนแล้ว เดี๋ยวอีกสองสามปีพอลานีญาผ่าน เอลนีโญกลับมาเมืองไทยใหม่ อุณหภูมิแตะใกล้ 50 หลังคาสังกะสีจะทำให้บ้านหลังนั้นกลายเป็นเตาอบ อย่างนี้เราต้องย้อนกลับไปมุงจากเหมือนเดิมดีไหม คนสมัยก่อนเขาอยู๋บ้านที่มุงด้วยจากซึ่งมันสามารถระบายความร้อนได้ หรือแม้แต่การสร้างบ้านทรงสูง นี่คือองค์ความรู้ของคนในสมัยก่อนที่เขาอยู่ได้กันมานาน เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า "เขาปรับตัวที่จะอยู่กับธรรมชาติ"
"คนไทยเราเก่งมาก คนไทยเราโชคดีที่เราเกิดภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระราชทานแนวทาง อย่างงาน Sustainability Expo ทุกอย่างเราพูดถึง SDGs (Sustainable Development Goals) แต่ประทานโทษครับในหลวงของเราได้พระราชทานแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) ให้กับคนไทยมาก่อน SDGs หลายสิบปีมากฉะนั้นสะท้อนให้เห็นถึงองค์ความรู้ของคนไทย ว่าประเทศไทยเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ เพียงแต่วันนี้หลายคนอาจลืมอาจมองข้ามไป เห็นเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเห็นต่างประเทศทำอย่างนั้นแล้วอยากจะทำแบบเขา โดยลืมไปว่าองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยเรามันคือเอกลักษณ์ และนี่คือความเข้มแข็งของคนไทย"
นอกจากนี้คุณวราวุธยังได้กล่าวตัวเลข ND-GAIN Index ที่ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 80 ของโลก เป็นตัวเลขที่บอกอันดับว่าประเทศไหนอยู่ตรงไหน เตือนให้เรารู้ว่าเราควรพัฒนาเรื่องไหนเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านเรา แต่อย่าเอามาเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศนั้นดีกว่าเรา เพราะแต่ละประเทศจะมีสภาพแวดล้อม จุดที่อยู่ทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันไป ต้องดูว่าประเทศไทยมีจุดแข็งอะไรแล้วต้องการพัฒนาด้านใด ซึ่ง ND-GAIN จะมีการวัดทั้งเรื่องความยืดหยุ่น ความเปราะบาง เราจะสามารถต่อสู้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งสอง Index นี้เราอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับมาเลเซียที่อยู่ดีกว่าเรา เรามีสิ่งที่จะต้องไปปรับปรุง เช่น โครงสร้างพื้นฐานหรือแม้แต่เรื่องการจัดการทรัพยากรน้ำ แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เราแข็งแรงกว่าเขา เช่น ความมั่นคงทางอาหาร สาธารณสุข ฉะนั้นอย่าไปคิดมาก แล้วหันกลับมาดูว่าเขามีอะไรดี เรามีอะไรด้อยแล้วปรับตรงนั้น
คุณวราวุธกล่าวว่า จากที่ได้ทำงานมาทั้งสองกระทรวง ความเปราะบางของประเทศไทยต้องดูที่โครงสร้างพื้นฐานที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน มันพร้อมรองรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นและสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน ก่อนจะยกตัวอย่างกรณีน้ำท่วมที่เชียงสามถึงสี่ครั้งที่ผ่านมาเป็นดินโคลนทั้งนั้น ซึ่งต้นเหตุมาจากประเทศเพื่อนที่ไม่มีต้นไม้เหลืออยู่แล้ว พร้อมย้ำว่าจะต้องเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ตนเคยพูดตอนอยู่ ทส. ว่าแก้ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศง่ายนิดเดียว ขอให้คนไทยปลูกต้นไม้กันคนละต้นเท่านั้นก็พอ วันนี้เราเห็นแล้วว่าพอมันไม่มีต้นไม้ไม่มีสีเขียว น้ำที่ลงมามันพัดพาเอาดินเอาโคลนมาทำร้ายคนเรา โครงสร้างพื้นฐาน ผังเมืองของเรารับกับทางน้ำหรือเปล่า บางครั้งเราทำถนนไปแล้วมันไปขวางทางน้ำบางคนบอกว่าเรามีถนนขึ้นมาเพื่อเป็นคันกั้นน้ำ โอเคมันมีทั้งข้อดีข้อด้อย คันกั้นน้ำไปแล้วน้ำที่กันเอาไว้มันจะไปกระทบกับส่วนไหนของเราต่อ นี่คือโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศไทยของเราต้องมาปรับปรุง แล้วเรียนรู้ที่จะดูว่าธรรมชาติอย่างเช่นเราสร้างเขื่อน สร้างเสร็จแล้วบริเวณลุ่มน้ำมันเปลี่ยนไป ฝนไม่ตกเหนือเขื่อนไปตกท้ายเขื่อน เราจะปรับตัวอย่างไร นี่คือการปรับเปลี่ยนความเปราะบางทางโครงสร้างของประเทศไทย
"ในส่วนของคน ความเปราะบางของพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบางวันนี้ ผมอยู่ พม. มาสองปี สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ถ้าเปรียบเหมือนรถคันหนึ่ง ผมขออนุญาตเปรียบเป็นเฟอร์รารี่ รัฐบาลแต่ละปีจะใส่งบประมาณเข้าไปในรถคันนี้ หาเครื่องยนต์และน้ำมันดีๆ มาใส่เพื่อให้รถคันนี้วิ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว แต่บังเอิญว่ารถคันนี้พ่วงด้วยคาราวานอยู่ตู้หนึ่งที่ในตู้เต็มไปด้วยปัญหาเรื่องสังคม กลุ่มคนพิการ คนสูงอายุที่อยากจะได้เบี้ยผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น เด็กเล็ก สตรี เป็นต้น ซึ่งคาราวานนี้มันใหญ่และหนักมาก ดังนั้นรัฐบาลจะใส่เงินเข้าไปเท่าไหร่ก็แล้วแต่ มันก็จะวิ่งไม่ได้ไกล เพราะมีสัมภาระใหญ่อยู่ข้างหลัง
ในทางตรงกันข้ามถ้าต้องการจะให้รถคันนี้วิ่งไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะต้องเปลี่ยนจากสัมภาระในคาราวานที่พ่วงใส่ระบบขับเคลื่อนไป ต้องทำให้พี่น้องกลุ่มเปราะบางสามารถอยู่ในสังคมได้ด้วยศักยภาพของเขา ให้เบ็ดตกปลาไม่ใช่ให้ปลา ต้องใส่ล้อให้กับเขาทำให้เขาสามารถมาเป็นแรงขับเคลื่อนของสังคม นี่คือสิ่งที่ผมได้ทำช่วงสองปีที่ผ่านมา เราหางานให้คนพิการ ดีใจที่ได้เห็นข่าวท่านนายกอนุทินบอกอยากจะเห็นประเทศไทยของเราเพิ่มอายุการเกษียณเป็น 65 ต้องยอมรับว่าวันนี้เราหนีไปไม่ได้ การที่จะต้องเพิ่มอายุของคนสูงอายุจาก 60 เป็น 65 จะทำให้มีคนทำงานเยอะมากขึ้น คนเกิดใหม่เราน้อยลง สิ่งต่างๆเหล่านี้ถ้าเราสามารถแปลงคาราวานนี้ให้มันเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สิ่งนี้จะกำจัดคำว่าความเปราะบางจากสังคมไทยไปได้"
คุณวราวุธ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าคนไทยเก่งไม่แพ้ประเทศใดในโลก เห็นได้จากการที่เราอยู่กันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด อยู่รอดมาจนถึงวันนี้ นั่นเป็นเพราะว่าเรามีความยืดหยุ่นพอสมควร ผ่านวิกฤตทางธรรมชาติที่ทำให้เราทุกคนเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เพียงแต่ว่าบางครั้งเราเห็นประเทศนั้นเป็นแบบนี้ เห็นเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแล้วอยากจะเอาเข้ามาใช้ บ้าง โดยที่เราอาจจะลืมไปว่าองค์ความรู้หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เรามีมันช่วยประเทศไทยมาได้หลายร้อยปีแล้ว
"ฉะนั้นผมคิดว่าวันนี้สิ่งที่ทำให้ประเทศไทยของเราอยู่รอดไปได้ในอนาคต แน่นอนเราต้องมีองค์ความรู้ใหม่เข้ามา แต่ขณะเดียวกันอย่าลืมองค์ความรู้ของคนรุ่นก่อนๆ ที่ทำเอาไว้ ผมเคยพูดอยู่เสมอว่าเวลานี้คนจะชอบพูดแบ่งรุ่น ประเทศไทยของเราจะเดินไปข้างหน้าได้จะใช้เจนใดเจนหนึ่งไม่ได้ เพราะว่ากว่าจะมาถึงวันเราได้อานิสงส์จากรุ่นก่อนรุ่นเก่า แต่จะเดินจากนี้ไปข้างหน้าถ้าไม่มีเจนวายเจนซีเจนอัลฟ่าเจนเบต้าประเทศไทยไปข้างหน้าไม่ได้ ฉะนั้นมันต้องเดินไปด้วยกันทุกกลุ่มเดินไปด้วยกัน เราจะเอาแต่องค์ความรู้ใหม่มาอย่างเดียวไม่ได้เราต้องดูองค์ความรู้ที่เรามีอยู่ เช่น เรื่องการเกษตร ประเทศไทยเรามีปราชญ์ชาวบ้านมากมาย แทนที่จะต้องไปใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เรามาดูว่าปราชญ์ชาวบ้านของไทยเรามีองค์ความรู้อะไรที่ไม่ทำร้ายทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ทำร้ายธรรมชาติ นี่คือสิ่งที่อยู่กันมาคู่กับประเทศไทยมานานมาก เมื่อเอาของดั้งเดิมกับของใหม่มารวมกัน จะทำให้เราเป็นหนึ่งในประเทศที่ยืดหยุ่นได้ไม่แพ้กับอีกหลายประเทศในโลก"
คุณวราวุธกล่าวว่า ตนในฐานะเคยทำงานกระทรวง พม. ได้เห็นศักยภาพของพี่น้องกลุ่มเปราะบาง เช่นเมื่อครั้งที่ตนเคยพาคนพิการไปหัดดำน้ำ ทำให้ได้เห็นความพยายามของคนกลุ่มนี้ เห็นทัศนคติ เห็นการไม่ยอมแพ้ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอีกหลายกลุ่มได้ ฉะนั้นการที่จะทำให้คนกลุ่มเหล่านี้สามารถผันตัวเอง
จากแทนที่สังคมไทยจะเป็นสังคมสงเคราะห์ แจกอย่างเดียว วันนี้มันไม่ไหว รายได้ของประเทศมาจากการที่พี่น้องประชาชนเสียภาษี วันนี้จำนวนคนทำงานน้อยลงจำนวนคนจ่ายภาษีน้อยลง แล้วในอนาคตคนทำงานจะยิ่งน้อยลงไปอีกเพราะจำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลงทุกปี ประเทศไทยกลายเป็นสังคมสูงอายุไปเรียบร้อยแล้ว คนที่จะจ่ายเงินเข้าไปในระบบน้อยลงแต่คนที่ต้องใช้สวัสดิการสังคมมีเยอะขึ้น ดังนั้นต้องให้คนที่เราคิดว่าเป็นกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีศักยภาพในตัว มีความพยายามสูง มีทัศนคติบวกต่อโลก เราต้องดึงพลังพลังของคนเหล่านี้มาเป็นตัวอย่างให้กับคนไทยในสังคมไทย แล้วเปลี่ยนคนกลุ่มนี้เปลี่ยนจากที่ถูกมองว่าเป็นภาระ ให้มาเป็นแรงขับเคลื่อนของสังคม
"ถ้าใครได้เข้าไปดูในเว็บไซต์ Climate Clock จะเหลืออีกประมาณ 3 ปีกับอีก 200 กว่าวัน เป็นเวลาที่บอกว่านับจากนี้ไปอีกสามปีกว่ามันจะถึงจุดที่โลกของเราไม่สามารถจะกลับไปที่จุดเดิมได้ พื้นที่สีเขียวที่เรามีในโลกใบนี้ไม่สามารถที่จะดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้อีกต่อไป มันถอยหลังมาแต่ผมอยู่ ทส. ตอนนั้นเหลือเวลาอีก7-8 ปี วันนี้เหลือ 3 ปีกว่า มันสะท้อนให้เห็นว่านาฬิกาชีวิตของคนในโลกนี้ไม่ใช่แค่คนไทย เราจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติให้ได้มากขึ้นและเร็วขึ้น เพราะสิ่งที่เราเจอวันนี้ ความร้อน ความเย็น ปริมาณฝน เรนบอมบ์ มันจะหนักขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ที่เราเจอถนนยุบมันเป็นหนึ่งในปรากฎการณ์ที่มาจากผลกระทบของเรนบอมบ์หรือเปล่า เพราะปริมาณฝนที่ตกลงมาในประเทศไทยแต่ละครั้งมันเยอะมาก จนกระทั่งมันไปชะล้างปริมาณดินที่อยู่ข้างใต้ ทำให้โครงสร้างของดินเปลี่ยนไปไหม ผมเชื่อว่ามีอีกหลายมิติที่มนุษย์เรารวมทั้งคนไทยยังคิดไม่ถึงว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมันกระทบกับอะไรบ้าง ฉะนั้นการปรับตัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่มันจะสายเกินไป"
คุณวราวุธได้ยกตัวอย่างกรอบการทำงานที่ควรบูรณาการร่วมไปกับการรับมือ โดยยกตัวอย่างงาน Sustainability Expo 2025 ที่ทุกฝ่ายจะต้องมาทำด้วยกัน โดยเฉพาะภาครัฐที่ทุกกระทรวงทุกกรมจะต้องเอาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการปรับตัว (Adaptation) เข้ามาอยู่ในหนึ่งยุทธศาสตร์ของกรมของกระทรวง เช่น กระทรวงวัฒนธรรมฯ จัดงานประเพณีลอยกระทงให้คนไทยมาขอบคุณแม่น้ำ ลำคลอง เจ้าแม่คงคา มาขอโทษขอขมาลำน้ำ เมื่อหลายสิบปีที่แล้วมีคนไทยอยู่ไม่กี่สิบล้านคน ไม่ได้เกิดปัญหา แต่วันนี้เปลี่ยนไปแล้ว คนไทยจำนวน 64 ล้านปลายๆ ถ้าลอยกันคนละกระทง แทนที่เราจะไปขอขมาแม่น้ำ กลับทำให้เราไปลงโทษแม่น้ำหนักขึ้นอีก นี่คือสิ่งที่กระทรวงจะต้องปรับตัว ต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ต กาลเปลี่ยนเวลาเปลี่ยน คุณรักษาเอาไว้แค่เป็นแกนหน่อยเดียวพอ ที่เหลือค่อยปรับให้มันเข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน พร้อมกับยก 3 ปัจจัยที่ทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมได้
1. เงิน ทำแบบนี้แล้วได้เงิน คนจะทำ
2. ทำให้ถูกกฎหมาย ถ้าผิดคนจะกลัวไม่กล้าทำ
3. ความตาย ไม่ทำตายแน่ แล้วคนก็จะแห่ไปทำ
ประเด็นนี้คุณวราวุธกล่าวว่า การมางาน Sustainability Expo2025 จะทำให้ทุกคนมีความหวัง เพราะมีอินโนเวชั่น มีนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้ประเทศไทยของเราเดินไปข้างหน้าด้วยองค์ความรู้ ใช้ความสามารถทำให้ประเทศไทยอยู่รอดไปได้
"ประเทศไทยของเราไม่ไม่เคยแพ้คนไหนในโลก คนไทยเวลาไปเวทีต่างประเทศไปแสดงฝีมือในเวทีโลก ประเทศอื่นยังทำไม่ได้อย่างประเทศไทยเลย สินค้าหลายอย่างของต่างประเทศก็สู้ของประเทศไทยเราไม่ได้ เพียงแต่วันนี้มันเริ่มที่จะมีเงื่อนไขเยอะขึ้น ทำให้ขั้นตอนการผลิตของคนไทยยากขึ้น แต่คนไทย ผมมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยของเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงพระราชทานแนวทางให้คนไทยไว้มาหลายสิบปีแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมมั่นใจว่าเวลาเราจะทำอะไร แก้ไขอะไร มันไม่มีอะไรคำว่าสายเกินไป แล้วคนไทยไม่แพ้ใครในโลกนี้ครับ"
ส่วนเรื่องการนำ Climate Tech เข้ามาส่งเสริมทั้งภาครัฐและเอกชนนั้น คุณวราวุธกล่าวว่า สิ่งสำคัญสิ่งแรกคือเรื่องเงินแต่ตอนนี้เราไม่มี แต่ในโลกของเรามีหลายกองทุนที่สามารถเข้าไปร่วมได้ เช่น Green Climate Fund. หรือ Global Environmental Fund. ของเยอรมัน มี GIZ ที่ทำงานร่วมกับคนไทย หรือแม้แต่กลไก Paris Agreement ข้อ 6.2 ที่ประเทศไทยเราเคยเทรดคาร์บอนเครดิตกับสวิตเซอร์แลนด์ ตอนที่ผมอยู่ ทส. ที่ทำให้ประเทศไทยของเราเป็นหนึ่งในคู่ค้าประเทศแรกของโลกที่แลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกับสวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่มาของวันนี้เรามีรถเมล์ไฟฟ้าวิ่งในกรุงเทพมหานคร สิ่งต่างๆ กลไกเหล่านี้ เงิน หน่วยงานของรัฐ ถ้าหากว่าไม่สามารถให้งบประมาณได้ สามารถประสานงานกับกองทุนต่างชาติหรือแม้แต่ทางภาคเอกชน สถาบันการเงิน Green Finance ทั้งหลาย ซึ่งตนคิดว่ามันเป็นตัวกระตุ้น บวกกับวันนี้โลกของเรากำลังเรียกร้องสินค้าที่มีการรับรองโดย ESG จะบีบให้ภาคเอกชน ภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรมทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเทคโนโลยีก็จะเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันสิ่งเหล่านี้
"อีกประเด็นที่สำคัญคือการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ปีที่แล้วเทสล่าได้กำไรประมาณเกือบ 9 หมื่นกว่าล้านบาท จากการขายคาร์บอนเครดิตอย่างเดียว ประเทศไทยของเราก็เช่นกัน นอกจากเรื่องเทคโนโลยีถ้าเราเพิ่มพื้นที่สีเขียว ประเทศไทยของเรามีพื้นที่อยู่ 323 ล้านไร่ วันนี้ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติเราต้องมีพื้นที่สีเขียวเกือบ 50% แต่พื้นที่ป่าที่มีอยู่วันนี้ประมาณ 31.3% เท่านั้น ถ้าเราเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ เราสามารถเอาพื้นที่เหล่านี้มาแปลเป็นคาร์บอนเครดิตหรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนการทำการเกษตร การปลูกข้าว วันนี้ชาวนาที่สุพรรณบุรี อ.เดิมบางนางบวช ขายคาร์บอนเครดิตได้แล้วไร่ละ 500 บาทต่อปี สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราได้เงินกลับมามีเงินในกระเป๋ามากขึ้น"
คุณวราวุธกล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่อยากให้ประชาชนได้รับกลับจากงาน Sustainability Expo 2025 อยากให้ทราบว่าอนาคตอยู่ในมือของพวกเราทุกคน ไม่ใช่เฉพาะในมือรัฐบาลหรือภาคเอกชน เราทุกคนเป็นหนึ่งในพลังที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น อนาคตจะเป็นอย่างไรขอให้ทำตั้งแต่วันนี้ เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วมันไม่มีคำว่าสายเกินไป ถ้าเริ่มวันนี้อย่างไรเสียก็ดีกว่าไปเริ่มปีหน้า ถ้าเราไม่ทำคุณจะรอให้ใครทำและที่สำคัญถ้าคุณยังไม่เคยมาสัมผัสงาน SX ที่ไทยเบฟจัด ขอให้มาเถอะครับ รับประกันว่าคุณจะเปลี่ยนความคิดอะไรไปอีกเยอะ คุณวราวุธกล่าว