เร่งด้วยกรีนรอดด้วยกันESG Symposium 2025จุดประกายไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา SCG จัดเวทีเสวนา ESG Symposium 2025 ภายใต้ธีม “GREEN BREAKTHROUGH AMID THE PERFECT STORM เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน” เพื่อจุดประกายแนวทางสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ท่ามกลางความท้าทายด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่กำลังถาโถม เวทีนี้รวมพลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อร่วมกันหาคำตอบให้คำถามสำคัญของยุคสมัย “ประเทศไทยจะเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมกับเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างไร”

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG พร้อมพันธมิตรเปิด 3 ข้อเสนอจากเวที ESG Symposium 2025 ด้วยการตอกย้ำว่า ESG Symposium ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็น แต่คือเวทีลงมือจริงเพื่อเร่ง “การเปลี่ยนผ่านสีเขียว” ให้เกิดขึ้นได้ทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ

“สิ่งที่เราเห็นใน ESG Symposium แน่นอนเราเห็นโอกาส แต่เราก็เห็นปัญหา เราถึงต้องมานั่งผลักดันกัน” คุณธรรมศักดิ์กล่าว

การเปลี่ยนผ่านพลังงาน: จุดเริ่มของการแข่งขันใหม่ของประเทศ

หนึ่งในหัวใจของการเสวนาคือ “การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด” ซึ่งสะท้อนมุมมองจากภาควิชาการที่เตือนว่าไทยยังอยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ

ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ว่า ดัชนีการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยในปี 2024 อยู่เพียง 55.8 คะแนน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกเล็กน้อย และต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน

“ประเทศไทยเรามีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดค่อนข้างต่ำ และการเพิ่มขึ้นของพลังงานสะอาดก็ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านของเรา”  ดร.อารีพรกล่าว

เธอระบุว่าหากไทยยังคงตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ 51% ภายในปี 2580 ก็อาจช้ากว่าความต้องการที่แท้จริง โดยเฉพาะเมื่อโลกกำลังเร่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593

สิ่งที่ไทยต้องเร่งทำ คือการเปิดให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมผ่านระบบ Third Party Access และส่งเสริมตลาดซื้อขายไฟฟ้าหมุนเวียนโดยตรง (Direct PPA) เพื่อกระตุ้นให้พลังงานสะอาดเกิดขึ้นได้จริงในเชิงพาณิชย์

“เครื่องมือที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ คือการที่ภาครัฐต้องเปิดการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน” ดร.อารีพรกล่าว

ในเวทีนี้ SCG ได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างขององค์กรที่ “Walk the Talk” กล่าวคือ ทำในสิ่งที่พูดอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการลงทุนและนวัตกรรมพลังงานสะอาดหลากหลายด้าน เช่น ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ การใช้พลังงานชีวมวล และเทคโนโลยีจัดเก็บพลังงานประสิทธิภาพสูง รวมถึงการใช้ AI และระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิต

คุณธรรมศักดิ์อธิบายว่า “เราเห็นแล้วว่ามันมีโอกาส เราก็เลยทำให้เห็น เพื่อให้คนอื่นมั่นใจว่า พลังงานสะอาดทำได้จริง”

SCG กับการสนับสนุน SME และ MSME: ร่วมเปลี่ยนผ่านอย่างไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

อีกประเด็นสำคัญของเวทีคือ “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม” (Just Transition) โดยเฉพาะสำหรับกลุ่ม SME และ MSME ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทยแต่กลับมักถูกทิ้งไว้ข้างหลังในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว

ดร. ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME แห่งประเทศไทย กล่าวบนเวทีว่า ผู้ประกอบการรายย่อยมักเป็นกลุ่มที่ถูกมองข้าม ทั้งที่มีสัดส่วนมากถึง 84.5% ของวิสาหกิจทั้งหมด และสร้าง GDP ได้กว่า 35% ของประเทศ อีกทั้งเมื่อรวมกับวิสหากิจขนาดเล็กแล้วก็มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 97.5 ของผู้ประกอบการในไทย

“MSME ไม่ได้ขอให้รัฐช่วยทั้งหมด แต่อยากให้ช่วย ‘เข้าถึงได้จริง’ เพราะกลไกสนับสนุนที่มีอยู่ซับซ้อนเกินไป” ดร.ณพพงศ์กล่าว

จากเวที ESG Symposium มีการสรุปอุปสรรคของ MSME ไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ การขาดเงินทุน ทักษะเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงกฎระเบียบที่ยังไม่เอื้อต่อการเติบโตและการเข้าถึงตลาดสีเขียว

SCG จึงใช้เวที ESG Symposium เป็นทั้ง “ห้องเรียน” และ “พื้นที่ปฏิบัติการ” ให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เห็นของจริง ผ่านโครงการ Go Together ที่ “เปิดบ้าน SCG” ให้ MSME เข้ามาดูนวัตกรรมพลังงานสะอาด เช่น ระบบโซลาร์เซลล์ เทคโนโลยีจัดเก็บพลังงาน และโซลูชันลดคาร์บอนต้นทุนต่ำ พร้อมแลกเปลี่ยนแนวทางธุรกิจที่ทำได้จริง ไม่เจ๊งกลางทาง

“งานแบบนี้ไม่จำเป็นต้องทำคนเดียว เราไม่จำเป็นต้องแยกทำ ทำร่วมกันดีกว่า แล้วมาแชร์กัน” คุณธรรมศักดิ์กล่าว

นอกจากนี้ SCG ยังมีโครงการ Net Zero Accelerator Program เพื่ออบรมและให้คำปรึกษาแก่ SME และหน่วยงานรัฐ เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเข้าถึงเงินทุนสีเขียว และการปรับตัวสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โครงการนี้เป็นตัวอย่างชัดของการขับเคลื่อน ESG ที่ไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่ลงมือทำจริงในระดับเศรษฐกิจฐานราก

Climate Adaptation: ปรับตัวอย่างยั่งยืน ท่ามกลางพายุความเปลี่ยนแปลง

อีกมิติหนึ่งที่ถูกหยิบยกอย่างเข้มข้นในงานคือ Climate Adaptation การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือ “ยุทธศาสตร์การอยู่รอด” ของธุรกิจในอนาคต

ในช่วงเสวนานี้ หลายผู้เชี่ยวชาญกล่าวถึงผลกระทบของภัยแล้ง น้ำท่วม และอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งเริ่มกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของประเทศอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะภาคเกษตรและอุตสาหกรรมต้นน้ำ

SCG ได้สะท้อนในเวทีนี้ว่า การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศต้องเริ่มตั้งแต่ “การรู้เท่าทันข้อมูล” และ “การลงมือร่วมกัน” ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การจัดการน้ำในภาคอุตสาหกรรม หรือการวิจัยวัสดุใหม่ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน

ในช่วงเสวนา คุณธรรมศักดิ์กล่าวว่า “ESG Symposium ไม่ใช่เวทีของ SCG เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นเวทีที่ทุกคนต้องมาร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืน เพราะไม่มีใครอยู่รอดได้ถ้าโลกไม่รอด”

การเสวนายังสะท้อนว่า การปรับตัวต่อ Climate Change ต้องมาพร้อมกับการออกแบบนโยบายที่ไม่ผลักภาระให้ภาคเอกชนเพียงลำพัง ภาครัฐควรสร้างแรงจูงใจ เช่น มาตรการภาษีสีเขียว หรือ Green Procurement เพื่อให้ธุรกิจที่ลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม

ESG Symposium เวทีความร่วมมือเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวของไทย

จากภาพรวมทั้งหมด ESG Symposium 2025 ได้ตอกย้ำว่า SCG ไม่ได้เป็นเพียง “ผู้จัดเวที” แต่เป็น “ผู้ลงมือขับเคลื่อน” การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวของไทยในทุกระดับ

ทั้งในมิติของ พลังงานสะอาด ที่สร้างเทคโนโลยีต้นแบบและแบ่งปันให้ภาคธุรกิจ, การสนับสนุน SME และ MSME ที่เปิดโอกาสให้เรียนรู้และเข้าถึงเทคโนโลยีสีเขียว, และ Climate Adaptation ที่มุ่งสร้างความร่วมมือ ปรับตัวรับมือโลกรวน โดยการนำเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติจากต่างประเทศมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

“เราจะเปลี่ยนผ่านได้จริงก็ต่อเมื่อทุกคนเห็นคุณค่าของการลงมือทำ และได้ร่วมกันทำ”  คุณธรรมศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย

เวที ESG Symposium 2025 จึงไม่เพียงเป็น “งานเสวนา” แต่เป็น “ขบวนความร่วมมือ” ที่พาไทยเดินหน้าด้วยพลังสีเขียวอย่างแท้จริง เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน