มีแนวคิดที่ว่า เอไอ (Artificial Intelligence: AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์) ช่วยมอบโอกาสให้คนในสังคมมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น เช่น มอบอำนาจในการแข่งขันให้กับธุรกิจขนาดเล็ก ช่วยทำงานกิจวัตร และอื่น ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ใช่ทุกคนในสังคมจะสามารถเข้าถึงเอไอได้อย่างเท่าเทียม
เช่นนี้ เอไอจะลดช่องว่างทางเศรษฐกิจให้แคบลง หรือยิ่งขยายให้ช่องว่างกว้างขึ้นจนคนที่ตามหลังไม่มีโอกาสตามทันกันแน่?
คำตอบก็คือ เราเลือกเอง
ฟังดูแล้วชั่งเป็นคำตอบครอบจักรวาลเหลือเกิน ในวงสนทนาเรื่อง AI ที่ใด หากมีคนตั้งคำถามว่า เราจะใช้ AI อย่างไรให้เกิดประโยชน์ ไม่ก่อโทษ คำตอบที่ได้ยินบ่อยก็คือ “เราเลือกเอง” หรือไม่ก็ “ต้องทำให้สมดุล” แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทางไหนคือ “ถูก” ทางไหนคือ “พอดี” คือ “สมดุล”
เช่นเดียวกับวิธีการทำงานของเอไอ ก่อนจะมอบคำตอบให้เรา มันต้องมีคลังข้อมูลเสียก่อน วันนี้ Spotlight จึงขอนำเสนอข้อมูลจำเป็นบางประการ เพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาว่า เราจะใช้เอไออย่างไร จึงจะสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจให้น้อยลงได้ ไม่ใช่ปล่อยให้มันขยายกว้างยิ่งขึ้นไปอีก
ย้อนกลับไปเพียงไม่กี่ปีก่อน ก่อนปี 2020 มีการคาดการณ์ว่า ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) จะพุ่งสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่ดีไปจนถึงปี 2030 อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2020–2021 ขณะที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความผันผวนที่ตามมา กลับดูเหมือนว่าจะสร้างรอยแผลให้กับการพัฒนามนุษย์ และการฟื้นตัวก็ไม่เร็วเท่าที่ควร
อันที่จริงแล้ว การพัฒนามนุษย์ที่ลดลงในช่วงเวลาดังกล่าว ถือว่ารุนแรงที่สุดนับตั้งแต่มีการจัดทำ HDI อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533
ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index: HDI) ประเมินจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่
ซึ่งทั้งหมดครอบคลุมมิติด้านสุขภาพ การศึกษา และคุณภาพชีวิต
ในปีนี้ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 76 จาก 193 ประเทศ จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มี “การพัฒนามนุษย์สูง” ซึ่งลดลงจากปีก่อน ที่ไทยเคยอยู่ในกลุ่ม “การพัฒนามนุษย์สูงมาก”
คะแนนรวมของไทยในปีนี้อยู่ที่ 0.798 เป็นอันดับ 4 ของอาเซียน รองจาก
รายละเอียดคะแนนของไทยในแต่ละด้านคือ
แม้ค่า HDI ของไทยจะมีแนวโน้มชะลอตัวในบางช่วง แต่ภาพรวมแล้วเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอด 33 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นถึง 33% ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 และยังมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ที่น่าสนใจคือ HDI ของผู้หญิงไทยเติบโตมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงอยู่ที่ 0.802 ขณะที่ผู้ชายอยู่ที่ 0.795
หากพิจารณารายงานการพัฒนามนุษย์ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำปี 2025 เรื่อง A Matter of Choice: People and Possibilities in the Age of AI จะพบว่า ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง โดยมีคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่ปรับตามความเหลื่อมล้ำ (Inequality-Adjusted HDI) อยู่ที่ 0.677
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินมีอยู่ชัดเจน:
ช่องว่างกำลังขยายขึ้น — ไม่ใช่แค่ในไทย แต่ทั่วโลก
ข้อมูลจาก UNDP ยังระบุว่า กลุ่มประเทศรายได้สูงมีความพร้อมในการใช้ AI มากกว่า เนื่องจากมีทรัพยากร ระบบเศรษฐกิจที่เสถียร และประชากรที่มีความตระหนักรู้และเข้าถึงเทคโนโลยี นั่นทำให้เกิดคำถามสำคัญ:
หากประเทศร่ำรวยใช้ AI ได้มีประสิทธิภาพมากกว่า แล้วประเทศรายได้ต่ำจะตามทันได้อย่างไร?
AI อาจช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้คน แต่หากไม่มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม AI อาจกลายเป็นตัวเร่งให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมกว้างขึ้นไปอีก
ในปัจจุบัน AI เข้ามามีบทบาทอย่างมากในโลกของการทำงาน โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และคณิตศาสตร์ ตามมาด้วยสื่อ ศิลปะและการออกแบบ การศึกษา การเงิน และธุรกิจ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ แม้แต่ในสายอาชีพอย่างกฎหมายและแพทย์ก็เริ่มนำ AI มาใช้งาน รวมไปถึงภาคบริการลูกค้าและคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอีกภาคส่วนที่นำ AI เข้ามาใช้เพื่อเพิ่ม ผลิตภาพ (productivity)
ผลการสำรวจของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เรื่องการใช้ AI และการพัฒนามนุษย์ชี้ว่า กว่า 1 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสำรวจใช้งาน AI อยู่แล้วในปัจจุบัน และ กว่า 2 ใน 3 ของประเทศที่มีค่า HDI อยู่ในระดับต่ำ-กลาง-สูง คาดหวังว่าจะนำ AI ไปใช้ในภาคการศึกษา สาธารณสุข และการทำงาน
การใช้ AI ในงานประจำหรืองานพื้นฐาน ช่วยให้ภาคส่วนต่างๆ สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ดร.ชาฮิด ยูซูฟ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ โครงการ Growth Dialogue แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน ระบุว่า ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า การใช้ AI จะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ
“เราได้ยินกันมานานแล้วว่า AI ช่วยเพิ่มผลิตภาพได้อย่างมาก และการเพิ่มผลิตภาพนี่เองที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นตัวกำหนดว่ารายได้ที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นหรือไม่
แต่จนถึงตอนนี้ เรายังไม่เห็นหลักฐานของเรื่องนี้เลย — ผลิตภาพยังคงซบเซา และแม้แต่ในประเทศพัฒนาแล้วที่สุด ผลิตภาพแรงงานก็ยังมีแนวโน้มลดลง แม้จะอยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีทันสมัยก็ตาม”
ดร.ยูซูฟยังแสดงความกังวลว่า การใช้ AI ในงานกิจวัตรอาจกระทบต่อกระบวนการพัฒนาบุคลากร โดยยกตัวอย่างวงการกฎหมาย ซึ่งมีการใช้ AI ในหมู่นักกฎหมายระดับต้น เพื่อรวบรวมข้อมูล ตอบคำถาม เขียนบันทึกสั้นๆ และทำงานประจำ
“งานเหล่านี้อาจถูกแทนที่ด้วย AI ได้ และนั่นคือปัญหา เพราะการฝึกคนให้ขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของสายอาชีพกฎหมาย จำเป็นต้องผ่านกระบวนการเหล่านี้
เช่นเดียวกับสายงานอื่นๆ เราต้องฝึกคนตั้งแต่ฐานราก และถ้างานกิจวัตรเหล่านั้นหายไปในช่วงที่คนกำลังอยู่ในขั้นตอนการเรียนรู้ การขึ้นไปถึงตำแหน่งสูงจะยากมากๆ”
แม้จะมีข้อกังวล แต่การใช้ AI เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลดช่องว่างทางรายได้ยังเป็นสิ่งที่ “เป็นไปได้” และมีแนวโน้มในทางบวก
ดร.ฟิลลิป ชเลเกนส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า:
“การพัฒนามนุษย์จะยังคงขับเคลื่อนด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ AI สามารถช่วยเพิ่มผลิตภาพของผู้คน
รวมถึงขยายขอบเขตทักษะของมนุษย์ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพในวงกว้าง ไม่ว่าในภาคส่วนใดก็ตาม”
เขายังเน้นย้ำอีกว่า การพัฒนามนุษย์มีความเชื่อมโยงกับ “การมีส่วนร่วม” และการคิดถึงคนรุ่นต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับ “วาระความยั่งยืน”
“AI อาจช่วยให้คนที่ถูกกีดกันเชิงโครงสร้างได้กลับเข้าสู่ระบบ คนที่อยู่ในภาคนอกระบบสามารถเข้าใกล้ภาคเศรษฐกิจทางการมากขึ้น
รวมถึงคนที่ยังอยู่ในภาวะยากจนหลายมิติ — เราอาจใช้ AI เป็นเครื่องมือเพื่อเข้าถึงพวกเขาและช่วยยกระดับชีวิต”
ดร.ชเลเกนส์ยังกล่าวว่า AI อาจช่วยลดช่องว่างอื่นๆ เช่น ช่องว่างทางการศึกษา ช่องว่างด้านบริการสุขภาพ และอคติทางเพศ
วันนี้เราทุกคนยืนอยู่ที่ “ทางแยก” เราจะใช้ AI อย่างไร? เพื่อเพิ่มช่องว่างระหว่างกัน หรือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ?
แล้วหากอยากลดช่องว่าง จะต้องทำอย่างไร?
“ผมขอพูดว่า ให้เราเปิดรับ AI กันเถอะ — เพราะ AI เป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้
เหมือนเรือคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ที่หันหัวได้ยาก และตอนนี้ทุกประเทศต่างก็เดินหน้าไปแล้ว” ดร.ชเลเกนส์กล่าว
“ถ้าประเทศไทยไม่เปิดรับ AI ประเทศอื่นก็จะทำ และในระดับที่สามารถใช้งานได้
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังใช้ AI เพื่อเสริมจุดแข็งเชิงเปรียบเทียบของตนเอง ทั้งในการผลิตสินค้า บริการ และการส่งออก
หากประเทศไทยไม่เปิดรับ AI ความสามารถในการแข่งขันก็จะเสียเปรียบ”
แต่เขายังเน้นว่า ต้องเปิดรับอย่าง “ชาญฉลาด”
“ต้องใช้ AI อย่างตระหนักถึงความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือความเสี่ยงที่ AI จะสร้างความเหลื่อมล้ำรูปแบบใหม่ หรือซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้ว — และนั่นเป็นความเสี่ยงที่แท้จริง”