Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
การทูตไทยไปอย่างไรต่อ หากอยากอยู่บน “เรดาร์” โลก
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

การทูตไทยไปอย่างไรต่อ หากอยากอยู่บน “เรดาร์” โลก

7 พ.ย. 68
11:11 น.
แชร์

การทูตตามแบบฉบับของไทย มักทำให้นึกถึงคำว่า “ไผ่ลู่ลม” ที่เน้นการใช้ความยืดหยุ่นเพื่อการอยู่รอด เป็นพันธมิตรกับทุกคน และเน้นการวางตัวเป็นกลาง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ แต่ในสภาพการณ์โลกปัจจุบัน การเดินเกมการทูตในลักษณะที่ว่า ยังเป็นเรื่องที่สร้างผลประโยชน์ให้ชาติได้อยู่จริงหรือ?

การทูตแบบไผ่ลู่ลมแน่นอนว่า ในบางสภาพการณ์นั้นได้ผล และสามารถรักษาผลประโยชน์ชาติเอาไว้ได้ แต่เมื่อบริบทโลกแตกต่างไป การช่วงชิงอำนาจของประเทศใหญ่มีความซับซ้อน และเกิดขึ้นในขอบเขตที่หลากหลายมากขึ้น การเป็น “ไผ่” อาจไม่ได้ผลอีกต่อไป และต้องใช้แนวทางเชิงรุกมากขึ้น

บริบทโลก 2025 ความมั่นคงและเศรษฐกิจที่ไทยต้องรอบคอบ

ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 จัดเวทีที่ชวนผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงแนวทางการทูตไทยแบบใหม่ และจะทำอย่างไรให้ไทยมีความสำคัญพอจะปรากฏใน “เรดาร์โลก” อีกครั้ง และก่อนจะพูดถึงว่าแนวทางจะทำอย่างไร ควรต้องสำรวจสถานการณ์โลกเสียก่อน

เดินความมั่นคงบนเส้นเชือก ไทยต้องสมดุลทั้งภายในและภายนอก

ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ศาสตราจารย์กิตติคุณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของนายกรัฐมนตรี อธิบายถึงความท้าทายด้านความมั่นคงของไทย ที่แบ่งเป็นภายนอกและภายใน สรุปได้อย่างละ 6 ประการ ได้แก่

ความท้าทายภายนอก:

  1. การแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งดร.สุรชาติชี้ว่า ปรากฏชัดขึ้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นของสงครามยูเครน และซ้ำด้วยสงครามในตะวันออกกลาง และไต้หวัน ที่เราเห็นหลายชาติ มหาอำนาจยื่นมือเข้าไปมีบทบาท
  2. การหวนคืนของสงครามตามแบบ ที่ปรากฏชัดขึ้นช่วงปีหลังที่ผ่านมาเช่นกัน แม้ว่าความรุนแรงและความขัดแย้งจะไม่เคยหายไปจากโลก แต่สงครามตามขนบกลับปรากฏในการเมืองระหว่างประเทศกระแสหลักมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
  3. ความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก และห่วงโซ่อุปทาน ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2017
  4. อาชญากรข้ามชาติในโลกออนไลน์
  5. วิกฤตสภาวะอากาศ และผลกระทบระดับภูมิภาค
  6. ความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน

และความท้าทายภายในของไทยคือ:

  1. เสถียรภาพทางการเมือง ที่ยังคงไม่มั่นคง
  2. เศรษฐกิจมหภาค ซึ่งอาจารย์กล่าวว่า ประชาชนมีแนวโน้มเผชิญความยากจนมากขึ้น จึงมีนโยบายประชานิยมอย่าง “คนละครึ่ง”
  3. ความมั่นคงมนุษย์
  4. การหลอกลวงออนไลน์
  5. สถานการณ์ภาคใต้ที่ต้องการยุทธศาสตร์เหมาะสม
  6. ความเหลื่อมล้ำทางสังคม

“จะรับมือโจทย์ข้อแรก [การแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์] ได้ ภายในต้องตอบโจทย์เราก่อน” ดร.สุรชาติกล่าว เน้นย้ำถึงความสอดคล้องกันของปัญหาภายในและภายนอก

อดีตอาจารย์รัฐศาสตร์บอกกับเราว่า สาเหตุหนึ่งที่ไทยหายไปจาก “เรดาร์” หรือกระดานหลักที่ผู้เล่นสำคัญของโลกอวดโฉมกัน นั้นเป็นเพราะการเมืองไทยตั้งแต่ยุครัฐประหาร

“โจทย์ภายในคือสิ่งที่พันธนาการเรา รัฐประหารปี 2014 คือปัจจัยที่ทำให้เราหายไปจากจอเรดาร์ เพราะเราหาตัวกลับเข้ามาอยู่ในโลกภายใน พูดง่าย ๆ คือเราใช้ชีวิตเป็นเด็กอินโทรเวิร์ตนานมาก จนช่วงหนึ่งเรากลัวแสงจากข้างนอก” ดร.สุรชาติกล่าว เน้นย้ำความสำคัญของการต้องแก้ปัญหาภายในก่อน เพื่อให้รับมือปัญหาภายนอกได้มีประสิทธิภาพ

ตำแหน่งไทยในสงครามมหาอำนาจ แร่หายากมาช่วยจริงไหม?

รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายถึงบทบาทไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก ที่ตอนนี้หลายคนชี้ว่า ยืนอยู่ระหว่าง 2 มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดในข้อนี้คือ การลงนามใน MOU แร่หายากกับสหรัฐฯ

“อาจเรียกว่าเป็นไพ่ก็ได้ เรามีแร่หายากซึ่งนับว่ามีค่ามาก มากกว่าทองคำด้วยซ้ำ มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ก็เห็นความสำคัญของไทยในมิติแร่หายากนี้ แต่ดิฉันแอบเสียดายนิด ๆ เพราะก่อนที่เราจะเอาตัวเองไปผูกมัดกับใคร เราน่าจะมีชั้นเชิงมากกว่านี้” อาจารย์อักษรศรีกล่าว

อาจารย์อธิบายว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่ควบคุมตลาดแร่หายากของโลกอยู่มาก ชนิดที่อาจเรียกได้ว่าผูกขาด ตั้งแต่ครอบครองแหล่งแร่หายากสำรองมากกว่า 50% ของโลก ควบคุมการแปรรูป 92% อุตสาหกรรมการผลิตขั้นท้ายอีก 98% และยังคุมเทคโนโลยีการทำเหมืองแร่หายากที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมากอีกด้วย

อาจเรียกได้ว่า ตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ ล้วนอยู่ในกำมือของสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนไทยเองมีเพียง “แร่ในดิน” แต่ขาดสิ่งอื่นอีกมาก แม้แต่ตัวเลขการผลิตที่อ้างกันว่าไทยอยู่ในอันดับที่ 6 ของโลก แท้จริงแล้ว เบอร์ 1 อย่างจีนกลับครองการผลิตกว่า 98% ไปแล้ว ประเทศที่เหลืออื่น ๆ จึงมีสัดส่วนแค่เพียงประเทศละเล็กละน้อยเท่านั้น อีกทั้งตัวเลขนั้น (อันดับ 6) ก็มาจากตัวเลขที่บริษัทสัญชาติแคนาดา Neo Performance Materials ซึ่งเป็นผู้ผลิตในจังหวัดนครราชสีมา

การพยายามยัดตัวเองเข้าห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก เป็นการทำเกินตัวที่จะทำให้ไทยเสียมากกว่าได้หรือไม่?

อาจารย์อักษรศรีตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศอื่นที่มีศักยภาพจึงไม่ลงมือเรื่องแร่หายากอย่างจริงจัง อาทิ ญี่ปุ่น ที่จีนลดการส่งแร่หายากให้มาตั้งแต่ปี 2010 เป็ฯเครื่องมือทางการเมืองหลังเกิดข้อพิพาทด้านเขตแดน หรือสหรัฐฯ เองที่ก่อนหน้านี้ก็ผลิตแร่หายากอยู่เพียงเล็กน้อย

และเมื่อประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ เร่งดำเนินการเรื่องแร่หายาก หนึ่งในก้าวแรก ๆ คือการลงทุนกับบริษัทออสเตรเลีย Lynas อีกหนึ่งประเทศที่เป็นผู้เล่นสำคัญในเวทีแร่หายาก ร่วมกันขุดแร่หายากที่มาเลเซีย อันทำให้เกิดปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม และมีการประท้วงจากภาคประชาชน และอาจารย์อักษรศรีกล่าวว่า ตอนนี้บริษัท Lynas กำลังเล็งประเทศไทย ที่ทองผาภูมิ กาญจนบุรี

“ตอนที่เราทำ MoU กับสหรัฐฯ เราอาจไม่ได้คิดว่าแร่ในดินนี้สำคัญขนาดนั้น แต่ตอนนี้เราเห็นชัดแล้วว่ามันสำคัญ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปอย่างไรต่อ จะเป็นโซ่ข้อหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานไหม แล้วทำอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์ และไม่สร้างมลพิษ”

“ในมุมเศรษฐศาสตร์ถ้าเราทำแค่นี้ [เซ็น MoU] แต่ไม่ทำอะไรต่อเลย บอกเลยว่าได้ไม่คุ้มเสีย จะให้บริษัทต่างชาติมามัดมือขอสำรวจก่อน แบบนี้อย่าทำเลย แต่เราควรจะบริหารสิ่งที่เรามีให้มากกว่านี้” อักษรศรีกล่าว

การเซ็น MoU กับสหรัฐฯ ยังนำมาสู่ข้อกังวลว่า “ไทยเอียงหาสหรัฐฯ มากไปหรือไม่?” แล้วความสัมพันธ์กับจีนจะเป็นอย่างไรต่อ

อาจารย์อักษรศรีชวนวิเคราะห์บทบาทไทยในสายตาจีน ชี้ว่าอาเซียนยังคงเป็น “หลังบ้าน” เป็นเขตอิทธิพลที่สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีนต้องการลดการพึ่งพาสหรัฐฯ บทบาทของอาเซียนก็ยิ่งสำคัญขึ้นมา เพราะเป็นทางออกให้เศรษฐกิจจีน ตั้งแต่ในฐานะฐานการผลิต และผู้ซื้อสินค้าจากจีน

ตัวอย่างความสำคัญของอาเซียนคือ การเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีน 5 ปีติดต่อกันในปีก่อน การขยายตัวของแบรนด์สินค้าจีนในอาเซียน อย่าง Mixue หรือ Chagee มีการขยายอิทธิพลด้านดิจิทัล ที่เป็นการขยายตลาดเศรษฐกิจดิจิทัลของจีน หรือการตั้งบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของจีนมากกว่า 50 แห่งบนเกาะปีนัง รวมถึงการลงทุนด้านแร่นิกเกิลในอินโดนีเซียของบริษัทจีน เหล่านี้เพื่อแก้ไขปัญหากำแพงภาษีสินค้าผลิตในจีน

นอกจากประเด็นแร่หายาก ประเด็นใหม่และยังร้อนอยู่ในวงสนทนาหัวข้อระหว่างประเทศ หัวข้อเก่าอย่างการเข้าเป็นสมาชิก BRICS ก็ยังเป็นเรื่องที่อาจารย์เศรษฐศาสตร์มองว่า ไทยยังต้องไปต่อ เพราะมีตลาดขนาดใหญ่มาก เป็นโอกาสอันดี และไทยไม่จำเป็นต้องเลิกใช้สกุลเงินดอลลาร์

แล้วการทูตไทยควรไปอย่างไรต่อ?

การนำไทยกลับเข้ามาสู่เรดาร์โลกคือ หัวข้อที่กระทรวงการต่างประเทศให้ความสำคัญ ย้ำว่าต้องใช้การทูตเชิงรุก อย่างที่นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารสนเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศย้ำว่า ไทยสามารถ “ชกเกินน้ำหนัก” ได้ในระดับหนึ่ง

ตัวอย่างการชกเกินน้ำหนักที่นิกรเดชพูดถึงคือ การที่ไทยเสนอตัวเข้าไปมีบทบาทในวงสนทนาระดับโลก อาทิ การเสนอเป็นผู้จัดงานประชุมการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ ที่จะเป็นการประชุมอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีแผนปฏิบัติชัดเจน

นายนิกรเดชกล่าวว่า การจะปรากฏตัวในเรดาร์โลกนั้น ประเทศไทยมีความท้าทาย 3 เรื่องคือ: ประเทศไทยต้องมีความหมายในสายตาประชาคมโลกมากกว่านี้, ต้องแข่งขันได้มากกว่านี้, และประเทศไทยต้องเป็นที่มองเห็นมากกว่านี้ ซึ่งปัญหาความปั่นป่วนมากมายที่โลกกำลังเผชิญ นายนิกรเดชมองว่าเป็น “โอกาส” ให้ประเทศไทยสร้างความสำคัญให้ตนได้

“ระเบียบโลกตอนนี้ไม่มีระเบียบ ปั่นป่วน ซึ่งไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่เป็นโอกาสให้ไทยสามารถชูบทบาทของตนขึ้นมา บอกว่าเรื่องใดเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องใดอยู่ใกล้หัวใจของเรา และเรื่องใดที่ไทยจะมีความหมายและสามารถแข่งกันในประชาคมโลกได้” นายนิกรเดชกล่าว

อีกตัวอย่างการมองโลกในแง่ดีของกระทรวงฯ คือการลงนาม MoU แร่หายาก ที่กล่าวว่าแม้ไทยยังขาดประสบการณ์และศักยภาพหลายด้าน แต่การเริ่มต้น MoU เป็นก้าวสำคัญที่จะกระตุ้นให้ไทยเริ่มลงมือ ศึกษา และดำเนินการได้

หากมองย้อนการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศในขณะนี้ ภายใต้การนำของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงฯ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ไทยได้มีการดำเนินการด้านการทูตหลายประการ ข้อสำคัญที่ประชาชนจับตามองคือ การลงนามสันติภาพกับกัมพูชาในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งสหรัฐฯ และมาเลเซียเป็นสักขีพยานด้วย

ประเด็นกัมพูชาที่ประชาชนจับตามอง

การที่สหรัฐฯ มามีบทบาทในความขัดแย้งในภูมิภาคครั้งนี้ สีหศักดิ์มองว่า เป็นข้อดีเพราะทำให้กัมพูชามีท่าทีอ่อนลง และยอมเจรจาในกรอบทวิภาคี กรอบที่ไทยเสนอมาตั้งแต่เริ่มต้น

“[การที่สหรัฐฯ เข้ามา] ทำให้การพูดคุยกับกัมพูชามีความคืบหน้า ที่เห็นได้ชัดคือ เดิมทีเขาไม่สนใจพูดคุยทวิภาคีกับเราเลย แต่ต้องการไปดำเนินการในเวทีโลก ที่ผมต้องไปตอบโต้กับรัฐมนตรีต่างประเทศของเขาที่ UN แต่ภายหลัง กัมพูชาเริ่มเจรจาทวิภาคี”

สำหรับข้อตกลงร่วม 4 ข้อที่ได้ตกลงกันไปได้แก่: การเก็บกู้ทุ่นระเบิด, เก็บอาวุธหนัก, บริหารจัดการชายแดน, และปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รัฐมนตรีต่างประเทศชี้ว่าฝ่ายความมั่นคงทั้ง 2 ชาติกำลังคุยและวางแผนงานร่วมกัน ซึ่งมีความคืบหน้าในทุกมิติ และด้านคนกัมพูชา 18 คนที่ไทยควบคุมก็กำลังอยู่ในกระบวนการสร้างความมั่นใจ

ก้าวต่อไปที่กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการคือ การเร่งให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับ MoU 2543 และ MoU 2544 หรือบันทึกความเข้าใจการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกและทางทะเล และเน้นย้ำความสำคัญของการมีแผนสำรองหากไม่มี MoU แล้ว ไทยจะทำอย่างไรต่อไป

3 เดือนถัดจากนี้ นายสีหศักดิ์กล่าวว่า ต้องมีการเร่งดำเนินการประเด็นต่าง ๆ ต่อ อาทิ ภายในประเทศ เน้นการทูตเศรษฐกิจ ขอให้กระทรวงการต่างประเทศอยู่ในครม.เศรษฐกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเจรจาในเวทีโลก, เน้นย้ำบทบาทในการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมอาชญากรรมไซเบอร์, เน้นบทบาทไทยในสงครามเมียนมา ด้วยการทำหน้าที่เป็นผู้เจรจากับรัฐบาลเมียนมา ชนกลุ่มน้อยบริเวณชายแดน และการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เหล่านี้คือการพลิกวิกฤตของนานาชาติ เป็นโอกาสให้ไทยมีความสำคัญในเวทีโลกมากขึ้น


แชร์
การทูตไทยไปอย่างไรต่อ หากอยากอยู่บน “เรดาร์” โลก