
27 ธันวาคม 2568 พณฯ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แถลงการณ์สรุปข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา จากผลการประชุม GBC ครั้งที่ 3 เปิดข้อตกลง 3 ข้อ และให้ความมั่นใจประชาชนถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหา
ในช่วงต้นของแถลงการณ์ ณัฐพลกล่าวว่า การปะทะที่เกิดขึ้นเกิดจากฝ่ายกัมพูชามีการใช้อาวุธ อันเป็นผลให้กำลังฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต กองทัพไทยจึงได้ตอบโต้ตามหลักการทางทหารสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ และเน้นย้ำว่า การตอบโต้วางอยู่บนหลัก 2 ข้อคือ การปกป้องความปลอดภัยของประชาชนไทย และการปกป้องเกียรติของชาติ
อย่างไรก็ตาม ณัฐพลสรุปแนวทางการหยุดยิง 3 ข้อคือ
“การเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของทหารไทยหลายนายจะต้องไม่สูญเปล่า แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยระดับยุทธศาสตร์ด้านอื่น ๆ อาทิ ด้านเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ และความชอบธรรมของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ” ณัฐพลกล่าว
มาตรการลดความตึงเครียด
กลไกดำเนินการลดความตึงเครียด
หยุดยิงเพื่อเปิดทางการแก้ปัญหาอย่างสันติ
ณัฐพลเน้นย้ำต่อประชาชนและสื่อมวลชนว่า การหยุดยิงไม่ใช่การถอยแต่คือการเปิดทางให้มีการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีด้วยวิธีการทางการทูต และกองทัพจะติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด
ลดข่าวยั่วยุ ปัญหาสันติภาพระยะยาว สื่อสารทั่วโลก พลอากาศเอก ประภาส เน้นย้ำการลดการยั่วยุในเวทีข่าวสาร หนึ่งในหลักการสำคัญในแถลงการณ์ร่วมครั้งนี้
“ในแถลงการณ์ร่วมจะมีประเด็นหนึ่งที่พยายามลดการยั่วยุซึ่งอาจเกิดปัญหาขึ้น ซึ่งศูนย์ประสานข่าวร่วมฯ จะประสานงานใกล้ชิดกับฝั่งกัมพูชาผ่านสถานทูต ผ่านทางผู้ช่วยทูตทหาร หากมีประเด็นใดที่จะขยายผลความขัดแย้งเราก็จะพบปะและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน” ประภาสกล่าว
“ประเทศเราเป็นประเทศประชาธิปไตย แน่นอนว่าอาจมีความเห็นหลากหลาย เข้าใจถึงความห่วงใย แต่ถ้ามีประเด็นใดที่ส่งออกไปแล้วส่งผลต่อความขัดแย้งก็จะประสานและให้ข้อมูล ทางฝ่ายกัมพูชาก็เช่นกัน” ประภาสกล่าวเสริม
ประภาสกล่าวอีกว่า แถลงการณ์ร่วมฝ่ายไทยจะแปลเป็น 16 ภาษาทั่วโลกส่งไปสถานเอกอัครราชทูตต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อแสดงจุดยืนและความตั้งใจในการสร้างสันติภาพของไทย
ผู้อำนวยการศูนย์กล่าวว่า เวลา 72 ชั่วโมงนี้เป็นช่วงเวลาสังเกตการณ์ และหากฝ่ายกัมพูชาไม่ดำเนินการตามที่ตกลง ตามแถลงร่วมมีกลไกพูดคุยผ่าน AOT และการต่อสายตรงระหว่าง รมว.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารก่อน แต่หากสถานการณ์ไม่สงบ ฝ่ายไทยจะกลับมาใช้มาตรการทางทหารแบบเดิมในการป้องกันตนเอง
“มีคำถามที่ว่าถ้าเกิดการละเมิดข้อตกลงหลังวันลงนามไทยจะทำอย่างไร? เราจะใช้ข้อมูล ข้อเท็จจริง หลักฐานทั้งหมดที่ตรวจสอบได้เป็นฐานในการดำเนินการในระดับทวิภาคีและต่อประชาคมโลก ในขณะเดียวกันกองทัพไทยก็มีหน้าที่และสิทธิในการป้องกันตนเองเพื่อคุ้มครองอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ” ประภาสกล่าว โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดแนวทางการป้องกันตนเองของกองทัพ
ประภาสกล่าวตอบคำถามสื่อประเด็นการเดินทางกลับบ้านของผู้พลัดถิ่นจากความขัดแย้งว่า ขึ้นอยู่กับการประเมินของท้องถิ่น และสามารถเริ่มได้เลยตั้งแต่ตอนนี้ ยืนยันว่าสามารถเดินทางกลับได้โดยกองทัพจะพยายามทุกวิถีทางในการบรรเทาความทุกข์ยากของผู้พลัดถิ่นจากสงคราม พร้อมทั้งเน้นย้ำว่ากองทัพให้ความสำคัญกับหลักการด้านมนุษยธรรม และคำนึงถึงความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นหลัก
นอกจากนี้แถลงการณ์ยังพูดถึงประเด็นอื่น ๆ อาทิ การรับฟังทุกความเห็นทั้งจากพีน้องประชาชนและนานาชาติ การให้ความสำคัญต่อมาตราการเยียวยาต่าง ๆ และให้ความมั่นใจนักท่องเที่ยวนานาชาติว่า สามารถเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งชายแดน ทั้งยังย้ำว่า ประเทศไทยไม่ได้เลือกระหว่างการเจรจาหรือการใช้กำลังทหาร แต่เราดำเนินการทั้งสองแบบควบคู่กันไป เพื่อให้ชาติยืนอยู่บนความชอบธรรม ความมั่นคง และศักดิ์ศรีในระยะยาว
“สงครามและความขัดแย้งไม่ได้ทำให้ประชาชนทั้งสองประเทศมีความสุข ย้ำอีกทีว่า ประชาชนคนไทยและคนกัมพูชาเราไม่ได้มีความขัดแย้งกัน มันเกิดจากการตัดสินใจในระดับผู้บริหาร” ประภาสเน้นย้ำ