
28 ธันวาคม 2568 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเมียนมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไป แม้ว่าประเทศจะยังไม่พ้นสถานการณ์สงครามกลางเมือง และมีวิกฤตด้านสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นต่อเนื่อง ประชากรราวครึ่งหนึ่งของประเทศไม่สามารถออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งได้ เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองดังกล่าว
ประชาชนต่อแถวลงคะแนนหน้าคูหาเลือกตั้ง และออกมาพร้อมนิ้วก้อยข้างซ้ายสีม่วงสด หรือ "หมึกอินเดลลิเบิล" (Indelible Ink) หมึกที่ล้างออกไม่ได้ในทันที ที่เจ้าหน้าที่จะให้ผู้ลงคะแนนจุ่มนิ้วก้อยลงไปเป็นสัญลักษณ์ว่าลงคะแนนแล้ว โดยปกติสีม่วงจะติดอยู่นาน 3-7 วัน
ในการเลือกตั้งปี 2558 และ 2563 การโชว์ภาพนิ้วสีม่วงลงบนสื่อสังคมออนไลน์กลายเป็นสัญลักษณ์ความก้าวหน้า แสดงความภาคภูมิใจที่ได้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งและเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดอนาคตประเทศ อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนเมียนมามองต่างออกไป
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่กองทัพเมียนมายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เมียนมาตกอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองนับตั้งแต่นั้น มีการปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพชาติพันธ์ุต่อเนื่อง เป็นเหตุให้มีผู้พลัดถิ่นทั้งภายในประเทศ และข้ามพรมแดนจำนวนมาก
หลังการเข้ายึดอำนาจ รัฐบาลทหารนำโดยมิน อ่อง หล่าย ประกาศ “โรดแมป 5 ข้อ” สัญญาจะจัดเลือกตั้งใหม่ และส่งมอบอำนาจให้ผู้ชนะการเลือกตั้ง การเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง ด้วยมีการขยายเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินถึง 7 ครั้ง ครั้งละ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ฉุกเฉินครั้งล่าสุดสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 6 เดือนหลังจากสิ้นสุดสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อกลางปีที่ผ่านมาจึงมีการประกาศเลือกตั้งครั้งล่าสุด ระบุว่า จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม 2568
การเลือกตั้งเกิดขึ้นในที่สุด แต่มีหลายขั้นตอนและมีความซับซ้อน เนื่องจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ถูกแบ่งเป็น 3 ระยะ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ เริ่มที่วันนี้ครั้งแรก (28 ธันวาคม) และครั้งที่ 2 วันที่ 11 มกราคม และครั้งที่ 3 วันที่ 25 มกราคม
แม้ว่าการเลือกตั้งทั้ง 3 ระยะจะครอบคลุมพื้นที่กว่า 265 จาก 330 พื้นที่ แต่พื้นที่ราว 1 ใน 5 ของประเทศ หรือ 65 เขต ยังไม่มีกำหนดการวันลงคะแนน
การเลือกตั้งครั้งนี้มีพรรคการเมืองเข้าร่วม 57 พรรค ส่วนใหญ่เป็นพรรคขนาดเล็กหรือเป็นนอมินีกองทัพ มีพรรคที่โดดเด่น 4 พรรคคือ:
แต่การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้กฎหมาย “ความมั่นคงการเลือกตั้ง” กฎหมายใหม่ ซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่กลับปลุกความกังวลในประเด็นเสรีภาพและทางเลือกของประชาชน เนื่องจากภายใต้กฎหมายนี้ มีพลเรือนกว่า 64 รายถูกดำเนินคดีไปแล้ว มากกว่า 120 คนถูกจับกุม จึงมีข้อวิจารณ์ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพียงการสืบทอดอำนาจกองทัพหรือไม่
“เขา [มิน อ่อง หล่าย] แนะนำว่า ช่วงการเลือกตั้งที่จะถึง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งควรเลือกผู้ลงสมัครที่สามารถทำงานกับกองทัพเมียนมาได้” สื่อเมียนมาที่ควบคุมโดยรัฐรายงาน
สำนักข่าว Reuters ชี้ว่า คำกล่าวนั้นสะท้อนความประสงค์ในการใช้ “คูหาเลือกตั้ง” สร้างความชอบธรรมอย่างที่ทำไม่ได้ในสนามรบ คือการควบคุมประเทศที่กำลังต่อต้านรุนแรงด้วยการแสวงหาความชอบธรรมในเวทีนานาชาติ
การเลือกตั้งครั้งนี้เปลี่ยนรบบจาก"ผู้ชนะได้ที่นั่งเดียว" (first-past-the-post) มาเป็น "ระบบสัดส่วน" (proportional system) สำหรับการเลือกตั้งสภาชาติพันธุ์ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เป็นไปเพื่อเพิ่มคะแนนเสียงให้กับพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ซึ่งเป็นพรรคนอมินีของกองทัพ
เมื่อกองทัพได้ที่นั่งสำรองอยู่แล้ว 25% ระบบสัดส่วนจะช่วยให้กองทัพสามารถปกครองประเทศเมียนมาต่อได้ด้วยคะแนนเสียงเพียง 1 ใน 3
พรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่าง พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ที่ถูกยึดอำนาจเมื่อ 5 ปีก่อน และพรรคสันนิบาตกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่เพื่อประชาธิปไตย (SNLD) ปะกาศไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการเลือกตั้ง และไม่เช้าร่วมการเลือกตั้งในครั้งนี้
แม้จะมีการประกาศการเลือกตั้งตั้งแต่ช่วงกลางปี แต่สงครามกลางเมืองในเมียนมาไม่เคยหยุดพัก ACLED ชี้ว่า กองทัพเมียนมาตั้งเป้าที่จะยึดคืนพื้นที่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ทำให้กองทัพเร่งยึดพื้นที่คืนด้วยการทางทหาร และการปราบปรามพลเรือนโดยทหารกำลังเพิ่มสูงขึ้นในช่วงก่อนการลงคะแนนเสียง
รายงานจาก ACLED ยังระบุว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564 จนถึงปลายปี 2568 คาดการณ์ว่ามีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการสู้รบและความรุนแรงทางการเมืองรวมแล้ว มากกว่า 82,000 คน
โดยมี 2568 เป็นปีที่มีความรุนแรงมากที่สุด โดยเฉพาะการโจมตีทางอากาศที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนเมษายน ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตเฉพาะในปีนี้ปีเดียวสูงกว่า 13,700 คน (ข้อมูลถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน) ยอดผู้เสียชีวิตฝ่ายพลเรือนรวมแล้วกว่า 5,353 คนตั้งแต่ปี 2564
มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศมากกว่า 3.5 ล้านคน และ UNOCHA กล่าวว่า มีประชากรเมียนมาถึง 18.6 - 19.9 ล้านคน (เกือบ 1 ใน 3 ของประเทศ) ที่อยู่ในภาวะวิกฤต ขาดแคลนอาหาร ยา และที่อยู่อาศัยอย่างรุนแรง
ด้านเศรษฐกิจ บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ (เช่น TotalEnergies, Chevron, Telenor) ถอนตัวออกจากประเทศ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนที่สูญเสียไปหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารโลกรายงานว่า เศรษฐกิจเมียนมาเล็กลงกว่าเดิมประมาณ 10-12% เมื่อเทียบกับก่อนรัฐประหาร และยังไม่มีสัญญาณของการฟื้นตัว ส่วนค่าเงินก็อ่อนลงมากกว่า 300%
ีอ้างอิง: RFA , The Irrawaddy,