
ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี สีเขียว และภูมิอากาศ ประเทศไทยกำลังเผชิญจุดหักเหสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์อนาคตทางเศรษฐกิจของตนเอง การเตรียมพร้อมสู่การเป็นเจ้าภาพการประชุม IMF-World Bank Annual Meetings ปี 2569 จึงไม่ใช่เพียงการจัดงานระดับนานาชาติ แต่เป็นเวทีที่จะสะท้อนศักยภาพใหม่ของประเทศในฐานะเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนและนวัตกรรม
ธนาคารโลกมองว่าไทยจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้ในการ “เล่าเรื่องใหม่ของประเทศไทย” ผ่านการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคต เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสายตานักลงทุนและผู้นำโลกว่าประเทศพร้อมจะเติบโตในเกมเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างมั่นคง โดยกลยุทธ์หลักของไทยในการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้คือการขับเคลื่อน “5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ซึ่งจะกลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจยุคใหม่ ได้แก่ การผลิตขั้นสูงและสีเขียว บริการดิจิทัล เกษตรและธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ การท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนและสุขภาพ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์
อุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่เพียงตอบโจทย์กระแสโลกที่กำลังเปลี่ยนไป แต่ยังเชื่อมโยงกับจุดแข็งพื้นฐานของไทยในด้านทรัพยากรมนุษย์ วัฒนธรรม และทำเลเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งหมดนี้คือยุทธศาสตร์การวางรากฐานเพื่อให้ไทยสามารถก้าวสู่สถานะ “ประเทศรายได้สูง” ภายใน 10-15 ปีข้างหน้า พร้อมแสดงบทบาทผู้นำในเศรษฐกิจภูมิภาคและเวทีโลกในยุคที่โอกาสทางเศรษฐกิจและการแข่งขันขึ้นอยู่กับความสามารถในการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
คุณเมลินดา กู๊ด ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและเมียนมา กล่าวในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ในหัวข้อ “Building Thailand’s Future Today: 5 Industries of the Future 5 เสาหลักพาไทยเติบโตสู่ประเทศรายได้สูงฉบับ World Bank” ว่า ในเดือนตุลาคมปีหน้า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IMF-World Bank Group Annual Meetings 2026 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสี่ทศวรรษที่เวทีเศรษฐกิจระดับโลกนี้จะมาจัดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เธออธิบายว่า การประชุมดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์ระดับโลกที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน “โอลิมปิกทางเศรษฐกิจ” ที่ไม่ได้มีเพียงผู้บริหารขององค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังจะดึงดูดผู้นำประเทศ รัฐมนตรีการคลัง ผู้ว่าการธนาคารกลาง ตลอดจนผู้นำภาคธุรกิจรายใหญ่จากทั่วโลกให้เดินทางมารวมตัวกันในประเทศไทย ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับไทยในการแสดงศักยภาพต่อสายตาโลก ไม่เพียงในฐานะเจ้าภาพ แต่ยังรวมถึงการถ่ายทอดเรื่องราวของการพัฒนา ความสำเร็จ วิสัยทัศน์อนาคต และความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ประเทศกำลังเผชิญ
คุณเมลินดากล่าวว่า การเตรียมการสำหรับเวทีนี้ควรถูกมองในฐานะ “จุดหักเหเชิงยุทธศาสตร์” ของประเทศไทยต่อโลก เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกจับตา และเปิดโอกาสให้ไทยกำหนดภาพลักษณ์ใหม่ในฐานะเศรษฐกิจที่พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต เธอชี้ว่าคำถามสำคัญคือ ประเทศไทยอยากให้โลกได้ยินเรื่องราวแบบใดในปี 2569 และจะเล่าเรื่องนั้นอย่างไรให้สอดคล้องกับทิศทางของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในมุมมองของธนาคารโลก ปัจจัยเร่งสำคัญที่กำลังหล่อหลอมเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ได้แก่ เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้า พลังงาน และภูมิอากาศ ซึ่งล้วนกำหนดทิศทางการลงทุนและห่วงโซ่มูลค่าใหม่ทั่วโลก สถานการณ์นี้สร้างทั้งความท้าทายและโอกาสให้กับไทย ซึ่งตั้งเป้าหมายจะก้าวสู่ “ประเทศรายได้สูง” ภายใน 10-15 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม คุณเมลินดายอมรับว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันยังต่ำกว่า 5% ซึ่งเป็นระดับที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว แต่หากประเทศไทยสามารถต่อยอดจากจุดแข็งที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นฐานการผลิต การเชื่อมโยงภูมิภาค และทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูง พร้อมกับใช้ประโยชน์จากกระแสความต้องการใหม่ของโลกและเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ไทยก็ยังมีโอกาส “คว้าชัยชนะในเกมเศรษฐกิจโลก” ได้อย่างแท้จริง
คุณเมลินดา กล่าวว่าธนาคารโลกกำลังทำงานร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรด้านการพัฒนาในประเทศไทย เพื่อกำหนด “5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Industries of the Future)” ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตและการจ้างงานในระยะยาว โดยแนวทางนี้สอดคล้องกับวาระระดับโลกของธนาคารโลกที่ให้ความสำคัญกับการสร้างงานในวงกว้างทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งในกรณีของประเทศไทย เป้าหมายคือการแปลงวาระโลกนั้นให้สอดคล้องกับจุดแข็งและข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของประเทศ ผ่าน 5 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ การผลิตขั้นสูงและสีเขียว เกษตรแปรรูป การท่องเที่ยว บริการดิจิทัล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์
คุณเมลินดาอธิบายว่า อุตสาหกรรมการผลิตของไทยจำเป็นต้องขยับขึ้นไปอยู่ในห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในยุคที่ตลาดโลกให้ความสำคัญกับ “สินค้าสีเขียว” ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ภายในปี 2573 ความต้องการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ขณะที่กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV) จะขยายตัว 3 เท่า
ประเทศไทยในปัจจุบันถือเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดนี้ โดยเป็นผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงานรายใหญ่ของโลก มีส่วนแบ่งตลาดแผงโซลาร์เซลล์ 4.2% และเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญในภูมิภาค ทั้งยังมีศักยภาพสูงใน “Green Complexity” หรือความสามารถทางเทคโนโลยีด้านสีเขียวที่เหนือกว่าหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม สินค้าสีเขียวคิดเป็นเพียง 10% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งที่เดินหน้าลงทุนในอุตสาหกรรมนี้อย่างรวดเร็ว
ธนาคารโลกจึงเสนอแนวทาง 3 ประการเพื่อยกระดับศักยภาพไทยให้ก้าวสู่แนวหน้าของอุตสาหกรรมสีเขียว ได้แก่
คุณเมลินดากล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารโลกกำลังเร่งความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ภาคอุตสาหกรรม ธนาคาร และผู้ประกอบการ SMEs เพื่อเปิดตัว “แพลตฟอร์มเมืองคาร์บอนต่ำและระบบเครดิตคาร์บอนระดับประเทศ” ภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้โรงงานและธุรกิจไทยสามารถสร้างคาร์บอนเครดิตที่ตรวจสอบและยืนยันได้ในระดับสากล พร้อมเปิดโอกาสให้แปลงมูลค่าดังกล่าวเป็นเงินทุนหมุนเวียนในประเทศ
คุณเมลินดาอธิบายว่า อุตสาหกรรมบริการดิจิทัลกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระดับโลก โดยข้อมูลของธนาคารโลกสะท้อนให้เห็นว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริการที่ส่งมอบผ่านช่องทางดิจิทัลขยายตัวขึ้นกว่า 5 เท่า การจ้างงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มขึ้น 4 เท่า และปริมาณข้อมูลที่ถูกสร้างและจัดเก็บทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 90 เท่า ทำให้นี่คือโอกาสมหาศาลสำหรับเศรษฐกิจที่พร้อมจะเชื่อมโยงกับโลกดิจิทัล
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพโดดเด่นในภูมิภาค ด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์อย่าง PromptPay และ e-wallet ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ไปจนถึงระบบ Thai ID ที่เอื้อต่อบริการออนไลน์และอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็ว ทั้งยังดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม คุณเมลินดาเตือนว่าปัจจัยสำคัญที่ไทยยังขาดคือ “ทักษะคน” โดยมีเพียง 5% ของแรงงานไทยที่มีทักษะดิจิทัลระดับกลาง และไม่ถึง 1% ที่มีทักษะขั้นสูงในสาขาอย่างปัญญาประดิษฐ์ วิศวกรรมข้อมูล และความมั่นคงไซเบอร์ การเร่งพัฒนาทักษะเหล่านี้จึงมีความจำเป็นต่อการผลักดันให้บริษัทไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
ธนาคารโลกจึงเสนอให้ประเทศไทยสร้างแรงงาน “Digital Builders” ผ่านระบบการเรียนรู้แบบ Micro-credentials ที่ยืดหยุ่น รองรับทั้งนักศึกษาและแรงงานสายอาชีพ เพื่อเพิ่มกำลังคนคุณภาพเข้าสู่ตลาดงานดิจิทัล ซึ่งมีค่าตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าอาชีพทั่วไปถึง 20-30% นอกจากนี้ยังชี้ว่า หากไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ได้เต็มศักยภาพ จะสามารถดึงดูดเงินลงทุนในสตาร์ตอัปดิจิทัลได้มากกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซกับฟินเทคจะสร้างรายได้เพิ่มอีกกว่า 600 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะ FoodTech และ TravelTech ที่ไทยมีจุดแข็งเหนือประเทศอื่นในภูมิภาค
คุณเมลินดาเน้นว่า ไทยควรใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้ “บรรจุเป็นแพ็กเกจ Thai Tech” เพื่อสื่อสารและส่งออกศักยภาพของประเทศสู่ตลาดโลก ขณะเดียวกันต้องเร่งลงทุนต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะด้านความมั่นคงของข้อมูล (Data Security) และมาตรฐานความโปร่งใสในการจัดเก็บและแบ่งปันข้อมูล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน
เธอยังระบุว่า การขยายศักยภาพของศูนย์ข้อมูลต้องมาพร้อมการลงทุนในระบบพลังงานสะอาดและน้ำที่มั่นคงเพื่อรองรับการระบายความร้อน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการดึงดูดการลงทุนระยะยาว และปิดท้ายด้วยการเรียกร้องให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาร่วมกัน “เร่งพัฒนาทักษะดิจิทัลอย่างเป็นระบบ” เพื่อให้แรงงานไทยสามารถเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตได้จริง
คุณเมลินดากล่าวว่า ในปัจจุบัน ภาคเกษตรกรรมไม่ใช่ภาคเศรษฐกิจที่ล้าหลังอีกต่อไป เพราะขณะนี้เป็นยุคแห่ง “การสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านอาหาร” ที่ประเทศต่างๆ สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ที่หลากหลายและยกระดับธุรกิจเกษตรให้ทันสมัยได้ทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ผ่านการใช้เทคโนโลยีฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farming) และระบบจัดการน้ำอย่างชาญฉลาด (Smart Water) ซึ่งตลาดทั้งในไทย อาเซียน และระดับโลก ต่างให้รางวัลกับอาหารที่ปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และดีต่อสุขภาพ
เธอกล่าวว่า ภายในปี 2593 โลกจะเผชิญ “ช่องว่างอาหาร” กว่า 56% หมายถึงความจำเป็นที่โลกต้องผลิตแคลอรีจากพืชผลมากกว่าปัจจุบันอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสใหญ่สำหรับประเทศที่มีศักยภาพด้านเกษตรอย่างไทย
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันภาคเกษตรและห่วงโซ่คุณค่าที่เกี่ยวข้องมีสัดส่วนราว 25% ของ GDP ไทย และเป็นแหล่งจ้างงานของประชากรราว 1 ใน 3 โดยไทยยังคงมีจุดแข็งในสินค้าเกษตรหลายชนิด เช่น ข้าว ยางพารา ไก่ น้ำตาล แป้งมันสำปะหลัง ปลาทูน่ากระป๋อง ทุเรียน และสับปะรด ซึ่งสะท้อนถึงความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในหลายตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม คุณเมลินดาชี้ให้เห็นว่าผลิตภาพแรงงานของเกษตรกรไทยยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะในกลุ่มธัญพืช ผัก และผลไม้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีช่องว่างขนาดใหญ่ในการเพิ่มผลผลิตต่อแรงงาน
ธนาคารโลกจึงเสนอให้ไทยทำให้ “มาตรฐาน” กลายเป็นยุทธศาสตร์หลักของภาคเกษตร ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างระบบที่เชื่อมโยงเกษตรกรรายย่อย ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจนอกกรุงเทพฯ เข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าที่มีโครงสร้างชัดเจน มีสัญญาที่ยุติธรรม ระบบตรวจสอบย้อนกลับ คลังเย็น และการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล เพื่อยกระดับสินค้าไทยให้ได้รับการรับรองในตลาดโลกมากขึ้น และสร้าง “Brand Thailand” ด้านอาหารปลอดภัยและยั่งยืนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 70% ภายในปี 2040 พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงลึกที่สะท้อนวัฒนธรรมและการผจญภัยมากกว่าการเดินทางแบบเดิมของคนรุ่นก่อน
คุณเมลินดา กล่าวถึงศักยภาพของไทยว่า ประเทศยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของโลก ครองอันดับ 2 ของเอเชียแปซิฟิก และอันดับ 10 ของโลกในด้านการท่องเที่ยว ทำให้ภาคการท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญมากต่อเศรษฐกิจไทย คิดเป็นสัดส่วนราว 20% ของ GDP และสร้างงานกว่า 4.3 ล้านตำแหน่ง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด ซึ่งสะท้อนว่าประเทศยังต้องปรับโครงสร้างบางด้านเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งที่ประเทศไทยมีเหนือคู่แข่งอื่น คือศักยภาพด้านสุขภาพและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ได้รับการยอมรับระดับโลก โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่จัดตั้งระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ภาคเอกชนด้านการแพทย์เติบโตจนมีโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานระดับ OECD ให้บริการการรักษา ฟื้นฟู และเวชศาสตร์ฟื้นฟูอย่างครอบคลุมในราคาที่เข้าถึงได้ จุดแข็งนี้ผสานกับเอกลักษณ์ด้านบริการ วัฒนธรรม อาหาร และเกษตรกรรมคุณภาพสูง ช่วยให้ไทยมีศักยภาพโดดเด่นในการเป็นศูนย์กลาง Wellness & Medical Tourism ของภูมิภาค
ทั้งนี้ แม้จะมีศักยภาพสูง คุณเมลินดาเตือนว่าประเทศไทยยังอยู่ในอันดับที่ 73 ของโลกในดัชนี “การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ทั้งด้านการจัดการของเสีย การใช้พลังงานและน้ำสะอาด การปกป้องชายฝั่งและมรดกทางวัฒนธรรม รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งที่สะอาดและมีประสิทธิภาพทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพฯ
คุณเมลินดาเสนอว่า หากไทยสามารถยกระดับมาตรฐานเหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม จะช่วยเพิ่มอันดับความยั่งยืนในระดับสากล และสร้าง “แบรนด์ปลายทาง” ที่แข็งแกร่ง ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่ใช้จ่ายมากแต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย พร้อมสร้างห่วงโซ่มูลค่าที่เชื่อมโยงรายได้กลับสู่ชุมชนในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ไปจนถึงภาควัฒนธรรมและสุขภาพ
เศรษฐกิจสร้างสรรค์กำลังเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ทั่วโลกจับตา มีมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ และสร้างงานกว่า 50 ล้านตำแหน่งทั่วโลก พร้อมทั้งการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ที่เติบโตขึ้นกว่า 3.5 เท่า และบริการสร้างสรรค์ที่ขยายตัวกว่า 2.5 เท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คุณเมลินดาเน้นว่าเบื้องหลังความ “สนุก” ของภาคนี้คือ “ธุรกิจจริงจัง” ที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศได้อย่างมหาศาล
เธอกล่าวว่าไทยมีศักยภาพเพราะ “เรื่องราวของไทยสามารถเดินทางได้ทั่วโลก” พร้อมยกตัวอย่างความสำเร็จของ Girl from Nowhere ที่ติดชาร์ต Netflix ไม่เพียงในไทยหรืออาเซียนแต่ในหลายประเทศทั่วโลก และ หลานม่า หรือ How to Make Millions Before Grandma Died ที่กลายเป็นไวรัลระดับสากล แสดงให้เห็นว่า “ทรัพย์สินทางปัญญาไทย” สามารถต่อยอดและจำหน่ายในตลาดโลกได้อย่างมีระบบ หากมีการพัฒนาแพลตฟอร์มสนับสนุนที่เหมาะสม
เธอชี้ว่าไทยยังมีพื้นที่อีกมากในการเติบโต เพราะแรงงานไทยเพียงร้อยละ 2 อยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์หลัก ซึ่งยังตามหลังประเทศคู่แข่งในเอเชีย ทั้งที่มูลค่าเพิ่มต่อแรงงานในภาคนี้สูงกว่าภาคอื่นอย่างมาก โดยเฉพาะในสาขาเว็บ พอร์ทัล ภาพยนตร์ สถาปัตยกรรม วิศวกรรม และโฆษณา
ธนาคารโลกเสนอแนวทางพัฒนา 3 ด้านหลัก ได้แก่ การสร้าง “Content Launchpad” เพื่อดึงดูดการถ่ายทำระดับโลก ด้วยระบบอนุญาตแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop Permit) ที่เอื้อต่อการลงทุนและการผลิตภาพยนตร์ในไทย การพัฒนา “Creative Districts” ในเมืองสำคัญอย่างเชียงใหม่ ขอนแก่น และภูเก็ต เพื่อเป็นศูนย์กลางศิลปะ ดนตรี แฟชั่น และภาพยนตร์ พร้อมสร้างฮับสำหรับสตาร์ตอัป ผู้สร้างคอนเทนต์ และการเช่าอุปกรณ์การผลิตในพื้นที่เดียวกัน และการตั้ง “Export Desk” เพื่อส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญาไทยเข้าสู่ตลาดโลกอย่างเป็นระบบ รวมถึงประสานงานกับเทศกาลต่างประเทศและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้ผลงานไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีสากลอย่างยั่งยืน
เพื่อเสริมสร้าง 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ดังกล่าว คุณเมลินดา กล่าวว่าการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยต้องเริ่มจาก “คน เมือง และระบบนิเวศ” โดยมีสามเส้นทางหลักที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต ได้แก่
นอกจากนี้ คุณเมลินดายังกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น “ทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ” เมืองอย่างขอนแก่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่ สามารถพัฒนาเป็น “เมืองอนาคต” ที่รวมศูนย์นวัตกรรม การศึกษา และคุณภาพชีวิตเข้าด้วยกัน เมืองที่พร้อมสำหรับอนาคตจะต้องมีระบบฝึกอบรมที่เชื่อมโยงกับนายจ้าง พลังงานสะอาด ระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ขั้นตอนอนุญาตทางธุรกิจที่โปร่งใส ที่อยู่อาศัยคุณภาพดี และโครงข่ายดิจิทัลที่รวดเร็ว
เธอยกตัวอย่างว่า เมืองในภาคเหนืออาจพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวอาหารควบคู่กับศูนย์สุขภาพ และจัดเทศกาลศิลปะหรือแฟชั่น เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ผสมผสาน ทั้งนี้ เมืองเหล่านี้ต้องมีผู้ให้บริการดิจิทัลในการสื่อสารและตลาดออนไลน์ รวมถึงแรงงานสายสีเขียวที่ช่วยสร้างเวทีและระบบขนส่งที่ยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “แบรนด์ประเทศไทย” ในสายตาโลก
ธนาคารโลกเตรียมเปิดกระบวนการ “National Foresight Journey” ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2568 ถึงสิงหาคม 2569 เพื่อรวบรวมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ผ่านการสัมภาษณ์ ห้องปฏิบัติการ และเวทีระดมสมองในระดับภูมิภาค กระบวนการนี้จะป้อนข้อมูลสู่ยุทธศาสตร์ระยะสั้นและแผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 14 ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒน์ฯ (NESDC) เป้าหมายคือการสร้าง “เรื่องราวใหม่ของประเทศไทย” เพื่อถ่ายทอดบนเวที IMF-World Bank Annual Meetings ปี 2569 ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่โลกได้เห็นพลังใหม่ของเศรษฐกิจไทยและศักยภาพของคนไทยในยุคอนาคต