
เมื่อพูดถึงเวทีการประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อมระดับโลก COP หรือ Conference of the Parties คงจะเป็นเวทีอันดับต้น ๆ ที่หลายคนนึกถึง COP เป็นการประชุมประจำปีที่ผู้นำจากเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก องค์กรเงินทุน บริษัทขนาดใหญ่ และหน่วยงานด้านส่งแวดล้อมมารวมตัวกันเพื่อหารืออนาคตของโลก ที่มองสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
แต่การประชุม COP นั้น แน่ใจแล้วหรือว่า “ยั่งยืน” จริง?
COP คือการประชุมตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งจะต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 30 แล้วในปีนี้ ตั้งแต่การประชุม COP เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงเบอร์ลินในปี 1995 โดยการประชุมนี้ได้ให้กำเนิดหมุดหมายและแนวทางด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นมาหลายประการ อาทิ พิธีสารเกียวโต (1997), ความตกลงปารีส (2015), Loss and Damage Fund (2022), กองทุนด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ และอื่น ๆ
ปีนี้การเดินทางของ COP มาถึงปีที่ 30 และจะเดินทางไปเยือนทวีปอเมริกาใต้ ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน 2025 อย่างไรก็ดี แม้งานจะจัดขึ้นเพียง 12 วัน แต่การเตรียมตัวในบราซิลนั้นดำเนินการมายาวนานกว่านั้นมาก
ก่อนหน้านี้มีการรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักเกี่ยวกับการ “ถางป่า” เพื่อทำถนนตัดผ่านป่าที่เรียกว่าเป็น “ปอดของโลก” อย่างป่าแอมะซอน เพื่อทำถนนจากกลางเมืองริโอเดจาเนโรสู่เมืองเล็กอย่างเบเลง ทำให้เกิดคำถามต่อกระบวนการเตรียมการของทางการบราซิลว่า “ยั่งยืนจริงหรือ”?
Spotlight ได้พูดคุยกับนักสิ่งแวดล้อมชาวบราซิล คุณวินนี โอเวอร์บีก (Winnie Overbeek) สมาชิกกลุ่ม World Rainforest Movement (WRM) เกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐบาลบราซิลเพื่อเตรียมรับการประชุม COP ผ่านสายตานักสิ่งแวดล้อม
WRM คือโครงการระดับนานาชาติที่เคลื่อนไหวเพื่อสะท้อนปัญหาและบทบาททางการเมืองของผู้พึ่งพิงป่าฝนในเขตโลกใต้ อาทิ ประชาชนผู้พึ่งพาป่าไม้ ชนพื้นเมือง เกษตรกรรายย่อย และชุมชนอื่น ๆ เพื่อความยุติธรรมทางสังคมและสิทธิมนุษยชน และป่าฝนแอมะซอนคือหนึ่งในนั้น
บราซิลใช้เวลากว่า 1 ปีในการเตรียมการเมืองเล็ก ๆ อย่างเบเลง (Belém) ซึ่งได้รับเลือกในฐานะ “ทางเชื่อมสู่แอมะซอน” ให้เป็นเมืองเจ้าภาพการประชุม COP30 โดยคาดว่าจะมีคนเดินทางมาประชุมกว่า 60,000 คน เพื่อชูบทบาทของป่าฝนในการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และความเปราะบางของป่าฝนในวิกฤตครั้งนี้
งบประมาณอีกราว 4,700 ล้านบราซิเลียนเรียล (ราว 28,400 ล้านบาท) และงบเสริมจากฝ่ายอื่น อาทิ เงินทุนจากงบประมาณกลาง ธนาคารเพื่อการพัฒนาบราซิล (BNDES) และบริษัทอิไตปู (Itaipu) คือเงินที่ใช้เตรียมเมืองครั้งนี้ แต่เป็นงบประมาณที่คุณโอเวอร์บีกมองว่า ถูกเทลงเมืองอย่างไม่เท่าเทียม
โอเวอร์บีกกล่าวว่า พื้นที่เมืองเบเลงแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ: ส่วนแรกใจกลางเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของคนรวย พื้นที่ส่วนนี้มีบริการและโครงสร้างพื้นฐานมากมายอยู่แล้ว ต่างกับส่วนที่สอง คือ “ไบซาดาส” (พื้นที่ลุ่มต่ำ)
“ไบซาดาสเข้าถึงบริการพื้นฐานได้จำกัดมาก หรือแทบเข้าถึงไม่ได้เลย การลงทุนส่วนใหญ่สำหรับการจัดงาน COP30 ถูกทุ่มให้กับพื้นที่ใจกลางเมือง มองข้ามการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ไบซาดาสได้อย่างเป็นระบบ” โอเวอร์บีกกล่าว
ในกระบวนการปรับปรุงเมืองที่พุ่งนำความเจริญไปใจกลางเมืองเพื่อ “ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง” นั้นเน้นการปรับปรุง “หน้าตา” เป็นหลัก
“ความสนใจที่พุ่งไปที่กลางเมืองและความพยายามจะทำให้เมือง ‘ดูดีขึ้น’ สำหรับผู้มาร่วมงานประชุมด้านสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ แน่นอนว่าไม่วนไปถึงย่านคนจนหรอก ไม่มีการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในไบซาดาสอย่างแท้จริง” นักสิ่งแวดล้อมผู้สังเกตการณ์กล่าว
“ไม่มีการลงทุนไหนพุ่งเป้าพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนจนในไบซาดาส” เขากล่าว
นอกจากการกระจายรายได้อย่างไม่เท่าเทียมในเบเลง นักสิ่งแวดล้อมยังชี้ว่า การเตรียมงานก็มองข้ามข้อเท็จจริงทางกายภาพของเมืองหลายประการ อย่างแรกคือ เบเลงเล็กเกินกว่าจะรับงานขนาดใหญ่อย่าง COP30
“เบเลงเป็นเมืองขนาดเล็กในแอมะซอน มีสาธารณูปโภคจำกัด และไม่มีการเตรียมพร้อมรับงานขนาดมหึมาอย่าง COP30 แต่ถึงอย่างนั้นตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา การก่อสร้างจำนวนมากก็ไหลเข้ามา [สู่เบเลง] ด้วยความช่วยเหลือของธนาคารเพื่อการพัฒนาบราซิล” โอเวอร์บีกกล่าว
อีกประเด็นคือ การมองข้ามทำเลที่ตั้งที่ห้อมล้อมด้วยแม่น้ำมากมาย ซึ่งควรจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางได้ แต่การลงทุนกลับใช้การตัดต้นไม้จำนวนมากออกจากป่าฝน
“ไม่มีการคำนึงถึงการพัฒนาอย่างชาญฉลาดที่เคารพภูมิศาสตร์อันซับซ้อนของเมืองเบเลง เมืองในแอมะซอนซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางเครือข่ายลำน้ำใหญ่เล็กจำนวนมาก” โอเวอร์บีกกล่าว
“มีโครงการก่อสร้างสำคัญอีกอย่างคือ ถนนสายใหม่เพื่อ ‘อำนวยความสะดวก’ สำหรับผู้ที่มีรถยนต์ ซึ่งทำให้มีการตัดไม้ทำลายป่าครั้งใหญ่ในเมืองเบเลง ส่งผลกระทบต่อชุมชนดั้งเดิมชาว ‘คีลอมโบลา’ (quilombola) ซึ่งเป็นลูกหลานชาวแอฟริกันในพื้นที่อะบากาตาล (Abacatal) ซึ่งขัดแย้งอย่างมากกับงานที่ตั้งใจจะนำเสนอความสำคัญของป่าแอมะซอน” โอเวอร์บีกชี้
สาธารณชนเริ่มให้ความสนใจการสร้างถนนทางหลวง 4 เลนระยะทาง 12 กิโลเมตรตัดผ่านป่าแอมะซอนของบราซิลตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กลุ่มชาติพันธุ์จัดการประท้วงต่อต้านการสร้างถนน ชี้ว่า การเตรียมการอย่างนี้ช่างขัดแย้งกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของงาน และตั้งคำถามว่า การสังเวยป่าอันเปราะบางและชุมชนคนชาติพันธุ์อย่างถาวร คุ้มค่าไหมกับการประชุม 12 วัน
ถึงอย่างนั้น รัฐบาลบราซิลก็ยืนยันว่า ทางหลวงนั้นจำเป็น และการก่อสร้างทำขึ้นด้วยวิธีการที่ “ยั่งยืน” ด้วยการมีองค์ประกอบอย่างทางข้ามสัตว์ป่า เลนจักรยาน และไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่จริง ๆ แล้ว โครงการสร้างถนนดังกล่าวมีการเสนอกันมาตั้งแต่ปี 2012 หรือนานกว่าทศวรรษก่อนบราซิลจะได้รับเลือกจัดงาน COP30 เสียอีก
แต่แม้จะมีทางข้าม สัตว์ป่าก็ยังตกอยู่ในความเสี่ยง ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมหลายคนชี้ว่า การตัดถนนผ่านพื้นที่ป่า เป็นการปิดกั้นที่อยู่อาศัย ลดความหลากหลายทางพันธุกรรม และเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
ในบราซิล อุบัติเหตุบนถนนทำให้สัตว์ป่าเสียชีวิตราว 475 ล้านตัวต่อปี ทางหลวงยังแบ่งแยกระบบนิเวศ ทำให้สัตว์เคลื่อนที่ สืบพันธุ์ และหาอาหารได้ยากขึ้น
กลุ่มชนพื้นเมืองออกมาต่อต้านการสร้างถนนสายนี้ อย่างเช่นกลุ่ม Munduruku, Kayapó และชนเผ่าท้องถิ่นอื่น ๆ ที่ออกมาประท้วงปิดถนนหลวง ชี้ว่า การก่อสร้างเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อการอยู่รอดของพวกเขา คนกลุ่มเปราะบางที่รับผลจากวิกฤตสภาพอากาศเป็นอันดับแรก ๆ เสมอ
“คนพื้นเมืองไม่มีเสียงอย่างเป็นทางการในงาน COP30 ซึ่งเป็นงานของรัฐบาล เสียงที่เราได้ยินคือ นักล็อบบี้ของอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล ใน COP29 ที่บากู มีตัวแทนจากภาคพลังงานฟอสซิล 1,773 คน” โอเวอร์บีกกล่าว
เขาเล่าถึงกลไกเรดด์พลัส (Reducing Emissions from Deforestation : REDD) หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่า ซึ่งเปิดทางให้ชุมชนชนพื้นเมืองและชุมชนที่พึ่งพาป่าเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยอนุรักษ์ แต่เขาก็มองว่า ชุมชนทั้งสองกลุ่มมีไว้เพียงเพื่อส่งเสริม REDD เท่านั้น เพราะผลประโยชน์ของกลไกดังกล่าวก็ไม่ได้กลับคืนมาสู่ชุมชนคนพื้นเมืองอย่างแท้จริง
“สิ่งที่กลุ่มทุนอุตสาหกรรมและการเงินกลุ่มประเทศโลกเหนือต้องการคือ การใช้ป่าดงดิบเขตร้อนอ้างว่าตนกำลังช่วยหยุดการตัดไม้ทำลายป่าและวิกฤติสภาพภูมิอากาศ แถมยังให้ ‘ประโยชน์’ บางอย่างกับชุมชน” นักอนุรักษ์ป่าฝนกล่าว และยกตัวอย่างล่าสุดคือ Tropical Forest Forever Facility (TFFF) ซึ่งจะเปิดตัวที่ COP30 โดยรัฐบาลบราซิล”
ตามคำกล่าวของโอเวอร์บีก กลุ่มคนพื้นเมืองและป่าฝนเขตร้อนเป็นเพียงสิ่งที่กลุ่มเงินทุนอ้างว่ากำลังช่วยเหลือ หากแต่ผลประโยชน์ไม่ได้เกิดขึ้นแท้จริง และกระบวนการก็ทำไปอย่างไม่เข้าใจพวกเขาถ่องแท้ ซึ่งก็เข้ากับนิยามการฟอกเขียว หรือการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพียงผิวหน้า
“การประชุมด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ งาน COP30 ซึ่งก็จัดมาเป็นครั้งที่ 30 แล้วนั้น จัดขึ้นโดยไม่ได้แก้ไขสาเหตุรากเหง้าของวิกฤติสภาพภูมิอากาศ หรือก็คือรูปแบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท”
เขากล่าวว่า กลไก REDD ซึ่งเป็นกลไกชดเชยคาร์บอนยังมีช่องโหว่ให้บริษัทที่สกัดและเผาพลังงานฟอสซิลสามารถดำเนินการต่อไปได้ ภายใต้ข้ออ้างว่ากำลังชดเชยการปล่อยคาร์บอน
“มีหลักฐานมากมายว่ามัน [REDD] ล้มเหลว ทั้งในการปกป้องป่า และสภาพภูมิอากาศ กระนั้นการประชุม COP30 ก็ยังยืนยันจะคุยเรื่องข้อเสนอประเภทนี้ต่อ และเมินเฉยต่อการตัดสินใจจำเป็นในการเก็บน้ำมันไว้ในดินและหยุดเผาพลังงานฟอสซิล ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่เรากำลังเผชิญ”
แล้วงาน COP30 ในครั้งนี้ใครเป็นคนได้ประโยชน์กันล่ะ? โอเวอร์บีกกล่าวว่า อันดับแรกคือ บริษัทเอกชนที่ทำกำไรจากงานก่อสร้างและภาคการเงินที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไร อย่างเจ้าของที่ผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ในเขตกลางเมืองเบเลง
“กลับกัน สำหรับแอมะซอน งานนี้จะสร้างความเสียหายมากขึ้น เพราะมีแนวโน้มอาจจะเป็นเพียงการประชุมสภาพภูมิอากาศอีกครั้งหนึ่งที่ไม่ได้ลงมือทำจริง ผลลัพธ์ก็มีแต่ผลร้ายต่อป่าแอมะซอนและภาวะโลกร้อน ยิ่งร่วมกับการตัดไม้ทำลายป่าต่อเนื่องเพื่อการทำเหมือง อุตสาหกรรมเกษตร และเขื่อนพลังน้ำ ป่าแอมะซอนกำลังถูกทำลายลงเรื่อย ๆ และระบบนิเวศค่อย ๆ กลายเป็นแบบซาวันนา ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ภัยแล้งในแอมะซอนรุนแรงมากกว่าที่เคยเห็น”
โอเวอร์บีกกล่าวจบด้วยการขอให้ผู้จัดงานเริ่มลงมือทำจริง ไม่ใช่แค่เพียงการประชุมงบประมาณมหาศาล และพุ่งเป้าแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด
“เลิกเสแสร้งแล้วทำอะไรจริง ๆ เสียที เริ่มจากเรื่องเก็บน้ำมันไว้ใต้ดิน เราพูดกันบ่อยมากแล้ว แต่ดูเหมือนผลประโยชน์ของกลุ่มทุนคงจะไม่ใช่ความเป็นอยู่ที่ดีของธรรมชาติและผู้คน แต่เป็นผลกำไรของพวกเขา”
“ฟังเสียงของชุมชนในป่า ฟังเสียงคนในไบซาดาส ดำเนินงานบนพื้นฐานความต้องการและข้อกังวลของพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถตัดสินใจได้จริง ๆ ไม่ใช่มีแค่บริษัทใหญ่กับภาคการเงินที่ครอบงำเสียงการประชุมไว้เสียหมด”