
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 มีการประชุมคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัย ครั้งที่ 1/2568 โดยมี เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมประชุม
ที่ประชุมมีการหารือกรอบการทำงานภายใต้ภารกิจหลัก คือ เพื่อตรวจสอบข้อมูลและธุรกรรมทางการเงินที่น่าสงสัย ซึ่งที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า จะมีการตั้งคณะทำงานติดตามพฤติกรรมน่าสงสัย เรียกว่า ‘ดาตาบูโร’ (Data Bureau) ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในขั้นต้นของการจัดการกับเงินสีเทา
‘ดาตาบูโร’ จะทำงานอย่างไร SPOTLIGHT สรุปมาแล้วจากการแถลงข่าวโดย เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง
‘ดาตาบูโร’ คือคณะทำงานติดตามธุรกรรมที่น่าสงสัย โดยจะรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากหน่วยงานในคณะทำงานซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลช่องทางต่างๆ ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นช่องทางของธุรกรรมสีเทา คือ คริปโตเคอร์เรนซี การซื้อขายแลกเปลี่ยนตรา และทองคำ เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ
คณะทำงานดังกล่าวประกอบด้วย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) กระทรวงยุติธรรม กระทรวงจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอีเอส) และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัย มองว่า จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ประสานข้อมูลและความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่เนื่องจากไม่มีเวลาที่จะตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ จึงตั้งเป็นคณะทำงานที่เรียกว่า ‘ดาตา บูโร’ ซึ่งสามารถตั้งได้เร็วกว่า
“ถ้าตั้งหน่วยงานใหม่ ไม่มีทางที่จะทำได้ทัน แต่ดาตาบูโรจะเป็นการนำกฎหมายและอำนาจของแต่ละหน่วยงานที่มีมาเชื่อมโยงกันมาแชร์กัน จากเดิมที่การติดตามข้อมูลหนึ่งเคส ตำรวจต้องไปหา ปปง. ไปหาแบงก์ชาติ ไปหาแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กฎหมายของแต่ละหน่วยงาน แต่จากนี้ไปจะมาคุยกันในที่เดียว ควรมีหน่วยงานหนึ่งทำงานตรงกลางตรงนี้ แต่เนื่องจากไม่มีเวลาที่จะตั้งหน่วยงานใหม่ ดังนั้น คณะทำงานนี้จึงจะลองนำเคสจริงมาลองทำร่วมกันภายใต้กฎหมายที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่ โดยบูรณาการกัน” รองนายกฯ และ รมว.คลังอธิบาย
เมื่อนำข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาเชื่อมโยงกันแล้ว คณะทำงาน ‘ดาตาบูโร’ จะร่วมตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้น โดยจะตรวจสอบ 3 ส่วน คือ
1. การพิสูจน์ตัวตน คือตรวจสอบว่าผู้ทำธุรกรรมเป็นใคร เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล เป็นตัวจริงหรือเป็นเพียงนอมินี (ตัวแทน) ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ทำธุรกรรมในหลายตลาดยังไม่มีการพิสูจน์ตัวตน เช่น ตลาดทองคำ
2. ตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัยจากข้อมูลต่างๆ เช่น บุคคลที่เข้ามาท่องเที่ยวหรือทำธุรกิจในประเทศไทยและมีเงินเข้า-ออกบัญชีมากผิดปกติ
3. ตรวจสอบการไหลเข้า-ออกของเงินว่าผิดปกติหรือไม่ ซึ่งส่วนนี้กำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
การทำงานของคณะทำงานฯ หรือ ดาตาบูโร จะเป็นการทำงานร่วมกันภายใต้กฎหมายของแต่ละหน่วยงานที่กำกับดูแลธุรกรรมในด้านนั้นๆ แต่ขณะนี้ ยังมีธุรกรรมบางส่วนที่ยังไม่มีกฎหมายของหน่วยงานใดครอบคลุม ซึ่งถือว่ายังเป็นช่องโหว่ทางกฎหมาย ทั้งนี้ หากเป็นช่องโหว่ที่เกี่ยวกับธุรกรรมทางดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอยู่ระหว่างแก้ไขกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางธุรกรรมที่ไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรงและไม่มีกฎหมายใดครอบคลุม คือ ธุรกรรมการซื้อขายทองคำ ซึ่งคณะทำงานอยู่ระหว่างหารือกันว่า กฎหมายของสำนักงาน ปปง. จะครอบคลุมไปถึงธุรกรรมในตลาดทองคำได้หรือไม่ ส่วนกรณีคริปโตเคอร์เรนซีที่ทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ สำนักงาน ก.ล.ต. ต้องใช้การบูรณาการระหว่างประเทศ และมีการตรวจสอบที่ขั้นตอนสุดท้ายคือการแลกกลับมาเป็นเงินบาท ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ ธปท.
กล่าวโดยสรุปคือ ดาตาบูโรจะตรวจหาหลักฐานการกระทำผิด โดยตรวจจับจากข้อมูลที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมากองรวมกันเพื่อให้มีข้อมูลและอำนาจในการตรวจสอบมากกว่าการแยกกันทำ หลังจากตรวจสอบแล้ว หากพบหลักฐานว่าเป็นธุรกรรมที่ผิดปกติ พบตัวผู้กระทำผิด ก็จะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายคือการสอบสวนและการลงโทษต่อไปตามแต่มีกฎหมายกำกับดูแลธุรกรรมนั้นๆ
“เราไม่ได้แก้ปัญหาเฉพาะเรื่อง เราไม่ได้แก้ปัญหาเฉพาะกรณี แต่จะแก้ปัญหาทั้งระบบ เราจะยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลพฤติกรรมทางการเงินที่น่าสงสัยทั้งหมด” เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.กล่าว
รองนายกฯ และ รมว.คลังบอกว่า เป้าหมายการทำงานของคณะทำงานชุดนี้มี 2 เป้าหมาย
เป้าหมายที่หนึ่ง คือ การเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัย โดยมีเป้าหมายปลายทาง คือ ยกระดับระบบการกำกับดูแลทางการเงินของประเทศไทยให้ได้มาตรฐานสากลตามมาตรฐานของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force: FATF)
ส่วนเป้าหมายที่สอง คือ ต้องดำเนินการสร้างระบบและเชื่อมโยงข้อมูลให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 นี้ ซึ่งสิ่งที่จะได้คือระบบกำกับตรวจสอบพฤติกรรมน่าสงสัยที่ได้มาตรฐานสากลหรือดีกว่ามาตรฐานสากล