
พายุไต้ฝุ่นคัลแมกี นับเป็นหนึ่งในพายุลูกใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในปีนี้ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พายุได้พัดถล่มฟิลิปปินส์รุนแรงในหลายพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นเป็น 114 รายแล้ว ยังไม่นับรวมผู้ที่สูญหายอย่างน้อย 120 ราย
ล่าสุด ไต้ฝุ่นคัลแมกีพัดเข้าประเทศเวียดนามแล้ว เบื้องต้นสื่อท้องถิ่นรายงานว่า อิทธิพลของพายุทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ รวมถึงมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหนึ่งราย หลังบ้านถล่มในจังหวัดดั๊กลัก ขณะที่อีกสองรายเสียชีวิตในจังหวัดยาลาย อย่างไรก็ตาม ศูนย์จัดการภัยพิบัติของรัฐบาลยังไม่ได้เปิดเผยจำนวนผู้เสียชีวิตหรือประมาณการความเสียหายอย่างเป็นทางการ
ก่อนเกิดพายุไต้ฝุ่น กองทัพเวียดนามได้ส่งทหารและบุคลากรมากกว่า 260,000 นายเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมด้วยยานพาหนะมากกว่า 6,700 คันและเครื่องบิน 6 ลำ สนามบินและทางด่วนบางแห่งในประเทศถูกปิด และประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพ
ไม่นานหลังจากพายุไต้ฝุ่นพัดขึ้นฝั่งในเวียดนามเมื่อเวลา 19:29 น. ตามเวลาท้องถิ่น ประชาชนหลายร้อยคนในจังหวัดดั๊กลักได้ร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย ขณะที่หลายๆ คนบอกว่า บ้านของพวกเขาพังทลายหรือถูกน้ำท่วม ขณะเดียวกัน ลมแรงและฝนตกหนักยังคงพัดถล่มพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ จังหวัดดั๊กลักอยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 350 กม.
นักพยากรณ์อากาศแห่งชาติเวียดนามเตือนว่า จะเกิดน้ำท่วมและดินถล่มในหลายร้อยพื้นที่ใน 7 จังหวัด มีรายงานความเสียหายในหลายจังหวัด เช่น หลังคาบ้านปลิว กระจกโรงแรมแตก และต้นไม้ล้มหรือหักโค่นตามถนนในเมืองและในชนบทเนื่องจากลมกระโชกแรง อีกทั้งประชาชนบางส่วนไม่ได้อพยพออกจากพื้นที่ แม้ว่าทางการจะส่งเจ้าหน้าที่ไปเคาะประตูบ้าน เพื่อเตือนให้ออกจากบ้านไปยังศูนย์พักพิงแล้วก็ตาม
ด้านนายกรัฐมนตรีเวียดนาม นายฝั่ม มิญ จิ๊ญ จัดการประชุมออนไลน์เพื่อกำกับดูแลการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน พร้อมกล่าวว่า “เราต้องเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลและให้แน่ใจว่าผู้คนมีอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็น เพราะทางการไม่อยากให้มีใครต้องหิวโหยหรือต้องทนกับความหนาว”
ก่อนที่จะพัดขึ้นฝั่งเวียดนาม พายุไต้ฝุ่นที่คนท้องถิ่นเรียกว่า ‘ติโน’ ได้ทิ้งร่องรอยความหายนะไว้ในประเทศฟิลิปปินส์ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 114 ราย และมีผู้อพยพหลายหมื่นคน โดยเฉพาะจากพื้นที่ตอนกลางของประเทศ รวมถึงเกาะเซบูที่มีประชากรหนาแน่นและแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งมีรถยนต์หลายคันถูกกวาดไปตามท้องถนน
ฝนที่ตกหนักในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง เทียบเท่ากับฝนหนึ่งเดือนบนเกาะ ส่งผลให้มีโคลนและเศษซากต่างๆ ไหลบ่าลงมาจากภูเขาและเข้าสู่เขตเมือง ผู้รอดชีวิตสามารถขึ้นไปถึงพื้นที่สูงได้ต่างเฝ้าดูรถบัสและตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกกระแสน้ำพัด พายุได้ทำลายล้างชุมชนทั้งหมด โดยเฉพาะเมืองทาลิเซย์ ซึ่งได้รับความเสียหายร้ายแรงที่สุด หลายพื้นที่เป็นชุมชนของผู้ยากไร้ซึ่งวัสดุก่อสร้างบ้านเรือนไม่ได้แข็งแรง ชาวเมืองคนหนึ่งกล่าวว่า “เราไม่ได้คาดคิดว่าจะมีฝนตกหนักและลมแรงขนาดนี้ เราเคยเจอพายุไต้ฝุ่นมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป”
ขณะนี้ ชาวบ้านได้เริ่มทำความสะอาดชั้นโคลนหนา ๆ และค้นหาสิ่งของที่สยังามารถนำไปใช้ได้ในซากปรักหักพัง ขณะที่ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสูญเสียจำนวนมาก ความเสียหายต่อทรัพย์สินจำนวนมาก รวมถึงการหยุดชะงักของการดำรงชีพและวิถีชีวิตปกติของผู้คนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
เวียดนามต้องต่อสู้กับน้ำท่วมและฝนที่ตกหนักเป็นประวัติการณ์มาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ริมฝั่งแม่น้ำที่เอ่อล้นได้เข้าท่วมสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมบางแห่งของประเทศ รวมถึงเมืองเว้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก และฮอยอัน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ โดยมีภาพชาวเมืองกำลังล่องเรือไม้ไปทั่วเมืองหลังจากแม่น้ำโฮ่ยเอ่อล้น
พายุไต้ฝุ่นคัลแมกีกำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันตกสู่กัมพูชาและลาว หลังจากพัดผ่านเวียดนามตอนกลางเมื่อวานนี้ (6 พฤศจิกายน 2568) โดยมีความเร็วลมสูงสุดถึง 149 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เช้าวันนี้ เวลาประมาณ 04.00 น. พายุคัลแมกีบริเวณเมืองสตึงเตรง ประเทศกัมพูชา ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนแล้ว โดยมีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 120 กิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเคลื่อนผ่านประเทศลาว โดยจะเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงบ่ายของวันนี้ ก่อนจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับ
จากอิทธิพลของพายุคัลแมกี ส่งผลให้ในช่วงวันที่ 7-9 พ.ย. 68 ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ โดยจะเริ่มจากบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือตามลำดับ