
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP Securities (KKPS) เปิดเผยผลการพูดคุยกับ DCByte บริษัทวิจัยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลก ว่าประเทศไทยกำลังขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากกระแสการโยกย้ายฐานการลงทุนของผู้ให้บริการรายใหญ่ระดับโลกหรือ Hyperscaler จากสิงคโปร์และยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ปัจจุบันประเทศไทยมีโครงการดาต้าเซ็นเตอร์รวมกว่า 4.5-4.6 กิกะวัตต์ ถือเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน มาเลเซียมีตลาดรวมราว 8-9 กิกะวัตต์ โดยยะโฮร์เพียงแห่งเดียวคิดเป็นกว่า 5 กิกะวัตต์ ขณะที่สิงคโปร์มีขนาดตลาดราว 2 กิกะวัตต์เท่านั้น ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าไทยกำลังกลายเป็น “จุดหมายถัดไป” ของการขยายฐานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในภูมิภาค
KKPS ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ไทยโดดเด่นในสายตานักลงทุนต่างชาติ มาจากข้อจำกัดของประเทศผู้นำเดิมในภูมิภาค สิงคโปร์ยังจำกัดการขยายกำลังผลิตดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่เพื่อควบคุมการใช้พลังงานและรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม ขณะที่ยะโฮร์เริ่มประสบปัญหาการขาดแคลนพลังงานและทรัพยากร จนไม่สามารถรองรับโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติมได้ในระยะสั้น
ตรงกันข้าม ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงานมากกว่า ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่หนาแน่นและครอบคลุม การอนุญาตดำเนินโครงการที่ยืดหยุ่นกว่า และความหนาแน่นของประชากรต่ำ ทำให้เหมาะสำหรับการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พื้นที่มากและระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ไทยยังมีระบบไฟฟ้าที่เชื่อถือได้และต้นทุนพลังงานที่แข่งขันได้มากกว่าหลายประเทศในภูมิภาค
ขณะที่ประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีข้อจำกัดหลายด้าน ฟิลิปปินส์มีความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง อินโดนีเซียต้องเผชิญกับต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์สูง ส่วนเวียดนามยังมีกฎระเบียบที่ซับซ้อนและไม่เอื้อต่อการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ทำให้ไทยถูกมองว่าเป็น “ตลาดที่สมดุลระหว่างศักยภาพและความเป็นไปได้เชิงปฏิบัติ”
อย่างไรก็ตาม KKPS ชี้ว่าไทยยังต้องเร่งพัฒนาในด้านมาตรฐานอุตสาหกรรม ความโปร่งใสของกระบวนการกำกับดูแล และการพัฒนาทักษะบุคลากรเฉพาะทาง เพื่อรองรับความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและพลังงานขั้นสูง
แนวโน้มการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยเริ่มขยายจากกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นฐานหลักของผู้ให้บริการเดิม สู่พื้นที่โดยรอบ เช่น ปทุมธานี สมุทรปราการ และชลบุรี รวมถึงเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ครอบคลุมฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง ซึ่งกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงการขนาดใหญ่ตั้งแต่ 100 เมกะวัตต์ขึ้นไป โดยเน้นรองรับการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบคลาวด์คอมพิวติ้งระดับองค์กร
กรุงเทพฯ ยังคงเป็นพื้นที่หลักของศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กถึงกลาง ที่รองรับบริการด้านธนาคาร การเงิน คลาวด์ และคอนเทนต์ออนไลน์ ซึ่งต้องการความเร็วในการเชื่อมต่อสูงและอยู่ใกล้ฐานผู้ใช้ ขณะที่พื้นที่ใน EEC ถูกวางให้เป็นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ใช้พลังงานสูง และพร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) หรือโครงข่ายข้อมูล AI ระดับภูมิภาค
รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการจัดสรรพลังงานแก่โครงการที่มีความพร้อมจริง และอยู่ระหว่างการออกแบบระบบ “ซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง” (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถจัดหาพลังงานสะอาดโดยตรงจากผู้ผลิตไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับอุตสาหกรรมดิจิทัล
KKPS วิเคราะห์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากโมเดล “โคโลเคชั่น” หรือการเช่าพื้นที่ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ มาสู่ยุคของการลงทุนโดยตรงจากผู้ให้บริการรายใหญ่ระดับโลก หรือ Hyperscaler ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนความต้องการมากกว่า 80% ของตลาดทั้งหมด
ในกลุ่มผู้ให้บริการจากตะวันตก Amazon Web Services (AWS) ได้เริ่มก่อสร้างศูนย์ข้อมูลของตนเองในไทย ขณะที่ Google ได้เข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการดาต้าเซ็นเตอร์เต็มรูปแบบ และ Microsoft ปรับกลยุทธ์ด้วยการเช่าพื้นที่ในระยะสั้นเพื่อเริ่มให้บริการก่อนเดินหน้าการลงทุนระยะยาว
ส่วนในกลุ่มจีน ByteDance ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม TikTok กลายเป็นผู้ใช้ดาต้าเซ็นเตอร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะที่ Alibaba Cloud และ Tencent Cloud ยังคงขยายบริการผ่านพันธมิตรโคโลเคชั่น เพื่อรักษาการเข้าถึงตลาดและลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในระยะยาว
KKPS ยังกล่าวถึงประเด็นที่รัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ระหว่างพิจารณากฎควบคุมการส่งออกชิปประมวลผลขั้นสูง (GPU) เพื่อป้องกันการส่งต่อเทคโนโลยีไปยังจีน ซึ่งอาจทำให้ไทยต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติมในการนำเข้าชิปบางรุ่นสำหรับงานด้าน AI และ HPC อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้คาดว่าจะส่งผลในเชิงเทคนิคเท่านั้น ไม่ได้กระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานหรือแนวโน้มการลงทุนในระยะยาว
นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่ากระบวนการอนุญาตดังกล่าวสามารถบริหารจัดการได้ และไทยยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาอุตสาหกรรม AI และดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งจากปัจจัยพื้นฐานด้านพลังงาน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และนโยบายของภาครัฐที่เอื้อต่อการลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูง
โดยสรุปแล้ว KKPS มองว่า การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์กำลังกลายเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของเศรษฐกิจดิจิทัล ที่จะสร้างแรงขับเคลื่อนต่อเนื่องให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ในเวลาเดียวกัน
ปัจจุบัน ดาต้าเซ็นเตอร์คือโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต การที่ไทยถูกมองว่าเป็นจุดหมายใหม่ของ Hyperscaler ทั่วโลก จึงไม่เพียงสะท้อนถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยีและพลังงาน แต่ยังสะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของประเทศ