
บนเวที “Energy Transition and the Race to Net Zero เปลี่ยนผ่านพลังงานไทย” ในงาน THE STANDARD Economic Forum 2025 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ แสดงวิสัยทัศน์ต่ออนาคตพลังงานของประเทศ ภายใต้โจทย์ใหญ่คือ “การสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคง ราคาที่แข่งขันได้ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” พร้อมขยายแนวคิดว่า "การแข่งขันเสรีทางพลังงาน" คือกลไกสำคัญที่จะเชื่อมทั้งสามด้านเข้าหากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายอรรถพลอธิบายว่าในอดีต ตลาดพลังงานไทยยังไม่เปิดเต็มรูปแบบ ทำให้ความสามารถในการปรับตัวจำกัด แต่การเปิดเสรีจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในระบบพลังงานได้มากขึ้น ทั้งในมิติการผลิตและการใช้ โดยยังคงอยู่ภายใต้กรอบของความปลอดภัยและความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่มีระยะเวลาทำงานเพียงประมาณ 4 เดือน นายอรรถพลวางเป้าหมาย “Quick Big Win” ให้เห็นผลได้ภายในไม่กี่เดือน ขณะเดียวกันก็วางรากฐานการเปลี่ยนผ่านพลังงานระยะยาวให้เชื่อมโยงสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์บรรลุ ภายในปี 2593 ที่รัฐบาลตั้งไว้ด้วย ผ่านการจัดทำแผนปฏิรูปพลังงานระยะยาว เช่น แผนพัฒนาไฟฟ้าแห่งชาติ (PDP) ฉบับใหม่
นายอรรถพลกล่าวว่า เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในวาระ 4 เดือนก่อนการยุบสภา รัฐบาลได้ดำเนินชุดนโยบาย ฺBig Quick Win ที่ตั้งใจ “สร้างผลลัพธ์จริง” ในระยะสั้น โดยเน้นขยายการเข้าถึงพลังงานสะอาดในทุกระดับของสังคม
โครงการแรกคือ “โซลาร์ภาคประชาชน-โซลาร์ชุมชน” รวมกำลังผลิตราว 1,500 เมกะวัตต์ ที่เปิดให้ผู้ประกอบการร่วมกับชุมชนพัฒนาโซลาร์ฟาร์ม เสนอขายไฟให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคซื้อคืนโดยตรง มาตรการนี้จะช่วยให้ชุมชนได้ใช้ไฟในราคาต่ำลงเฉลี่ย 40-80 สตางค์ต่อหน่วย ขณะที่เอกชนยังคงมีผลตอบแทนที่เหมาะสม ทั้งนี้ยังมีข้อกำหนดสำคัญว่าชุมชนต้องได้รับการฝึกอบรมและมีส่วนร่วมบริหารจัดการระบบโซลาร์ด้วยตนเอง
อีกส่วนหนึ่งของโครงการนี้คือ “โซลาร์เพื่อเกษตรกรและประปาหมู่บ้าน” ที่รัฐจะลงทุนเองเต็มรูปแบบ เพื่อลดภาระพลังงานจากไฟฟ้าและน้ำมัน โดยจะติดตั้งระบบโซลาร์สูบน้ำให้แหล่งน้ำเกษตรและระบบประปาท้องถิ่น สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น โครงการนี้อยู่ระหว่างบูรณาการกับกระทรวงมหาดไทยซึ่งดูแลระบบประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ
สำหรับระดับครัวเรือน กระทรวงได้อนุมัติมาตรการ ลดหย่อนภาษีสูงสุด 200,000 บาท สำหรับการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาบ้าน เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาผลิตไฟเอง ส่วนประกาศอย่างเป็นทางการกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำโดยกรมสรรพากร เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการยื่นภาษีรอบถัดไปได้จริง
ภาคอุตสาหกรรมก็เป็นอีกเป้าหมายหลัก ภายในเดือนธันวาคมนี้ กระทรวงจะออกหลักเกณฑ์ “Direct PPA” หรือระบบซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ โดยผู้ซื้อจ่ายเพียง “ค่าผ่านสายส่ง” ให้การไฟฟ้า ขณะที่ราคาพลังงานและสัญญาซื้อขายเป็นไปตามกลไกตลาด โครงการนำร่อง 2,000 เมกะวัตต์จะใช้กับ ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์รายใหญ่ ซึ่งต้องการใช้ไฟฟ้าสะอาด เพื่อเป็นทั้งต้นแบบระบบไฟฟ้าเสรีและแรงขับให้เอกชนลงทุนในพลังงานสีเขียวไปพร้อมกัน
นอกจากนโยบายระยะสั้นแล้ว การเปลี่ยนผ่านพลังงานไม่อาจสำเร็จหากไม่เร่งปรับโครงสร้างระยะยาวด้วย โดยนายอรรถพลระบุว่าปัญหาสำคัญของการเปลี่ยนผ่านพลังงานไทยไม่ใช่เรื่องกำลังการผลิต แต่คือ “คอขวดของสายส่งไฟฟ้า” โดยเฉพาะในภาคตะวันตกและภาคตะวันออกที่มีการตั้งโรงงานและดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าไม่พอจ่ายในบางพื้นที่ แม้ประเทศจะมีกำลังผลิตสำรอง เขาเปิดเผยว่าปัจจุบันมีโครงการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI แล้วกว่า 30 ราย แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะระบบส่งไฟฟ้าไม่พร้อม
เพื่อแก้ปัญหานี้ กระทรวงพลังงานได้อนุมัติงบเร่งด่วน 3,000 ล้านบาท เพื่อขยายสายส่งและสถานีไฟฟ้าย่อยในพื้นที่วิกฤต และเตรียมเสนอของบเพิ่มเติมอีก 30,000 ล้านบาทในเดือนมกราคม เพื่อขยายการลงทุนทั่วประเทศ การลงทุนนี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้เอกชนมั่นใจว่ารัฐพร้อมรองรับดีมานด์ใหม่ ๆ จากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
นายอรรถพลยังอธิบายเพิ่มเติมว่าในอุตสาหกรรมพลังงานซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน สิ่งที่กระทรวงทำคือ “ตีระฆัง” หรือ Ring the Bell จุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นก่อน เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นทิศทางและสามารถเดินต่อได้อย่างมั่นใจ เขามองว่าผู้ประกอบการและนักลงทุนซึ่งมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมเดิมไม่ควรถูกมองว่าเป็นอุปสรรค แต่ควรได้รับโอกาสในการปรับตัวและร่วมสร้างระบบใหม่ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดต้องอาศัยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เช่นโครงการโซลาร์ชุมชน ที่ภาคเอกชนและชุมชนสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้
นายอรรถพลยกตัวอย่างปัญหาที่ภาคตะวันออกซึ่งมีข้อกังวลว่าไฟฟ้าไม่เพียงพอ กระทรวงจึงเชิญทุกหน่วยงานมาหารือเพื่อหาทางออก จากความกลัวว่าดีมานด์ที่เสนออาจไม่จริงแท้ นายอรรถพลจึงให้แนวทางชัดเจนว่า เมื่ออนุมัติโครงการไปแล้ว 30 กว่าราย แม้จะมีเพียงครึ่งหนึ่งที่เป็นดีมานด์จริง แต่ก็ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคลงทุนขยายสายส่งได้ทันทีโดยไม่ต้องรอผลลัพธ์เต็มจำนวน เพียงให้ผู้ลงทุนวางแบงก์การันตีเพื่อยืนยันความพร้อม ก็สามารถเดินหน้าได้โดยไม่ต้องชะงักเพราะความไม่มั่นใจ
ในประเด็นการเปิดเสรีที่อาจทำให้ผู้เล่นในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าเสียประโยชน์และไม่พอใจ นายอรรถพลผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดยังสามารถมีบทบาทได้ เพียงแต่ต้องยกระดับประสิทธิภาพเพื่อแข่งขันในระบบใหม่ เหมือนกับธุรกิจน้ำมันที่เคยผูกขาดแต่วันนี้เปิดเสรีแล้วโดยที่รายใหญ่ก็ยังอยู่ได้ การแข่งขันเช่นนี้จะนำไปสู่บริการที่ดีขึ้น ราคาที่เป็นธรรม และประโยชน์สูงสุดตกแก่ผู้บริโภคในท้ายที่สุด
นายอรรถพลย้ำว่า ในขณะนี้ เป้าหมายหลักของกระทรวงพลังงานคือการมุ่งวางรากฐานเพื่อให้เกิดโครงการนำร่องที่จับต้องได้จริง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นกลไกการดำเนินงานและการจัดการในระบบพลังงานรูปแบบใหม่อย่างเป็นรูปธรรม แม้อาจยังมีข้อดีข้อเสียที่ต้องปรับแก้ในภายหลัง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นให้ได้ก่อน เพื่อสร้างต้นแบบที่ชัดเจนสำหรับการขยายผลในระยะต่อไป
นอกจากนี้ เมื่อถูกตั้งคำถามถึงความต่อเนื่องทางนโยบาย หากมีการเปลี่ยนรัฐบาล นายอรรถพลตอบว่า ทางรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะออกแบบและผลักดันให้โครงการด้านการปฏิรูปพลังงานต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จนแม้รัฐบาลใหม่เข้ามาต้องการจะยกเลิกนโยบายจริงก็จะ “กลับลำได้ยาก” เพราะหากนโยบายผ่านขั้นตอนอนุมัติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และให้หน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายออกระเบียบเปิดรับสมัคร และมีผู้ประกอบการยื่นเข้าระบบมาเรียบร้อยแล้ว การยกเลิกหรือหยุดชะงักจะทำได้ยาก หรือเท่ากับ “เลยจุดยูเทิร์นไปแล้ว” ซึ่งเป็นการประกันความต่อเนื่องทางนโยบายในเชิงโครงสร้าง
ในระดับยุทธศาสตร์ใหญ่ นายอรรถพลเปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานกำลังเร่งดำเนินการเพื่อที่จะออก “แผนพัฒนาไฟฟ้าแห่งชาติ (PDP) ฉบับใหม่” ภายในปีนี้ แผนดังกล่าวจะเป็นรากฐานสำคัญของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยนายอรรถพลเผยว่าเพิ่งได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำชุดใหม่ เพื่ออัปเดตจาก PDP ฉบับปี 2561 ให้กลายเป็น PDP 2568 ซึ่งต้องแล้วเสร็จภายในไม่กี่เดือน และสั่งให้คณะกรรมการประชุมทุกสัปดาห์แทนระบบเดิมที่ประชุมเพียงเดือนละครั้ง เพื่อให้ทำงานแข่งกับเวลาที่จำกัด
นายอรรถพลกล่าวว่าหัวใจของ PDP 2568 คือการยกระดับเป้าหมาย Net Zero จากปี 2065 มาเป็นปี 2050 ให้ทัดเทียมประเทศคู่แข่งในอาเซียนอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม แผนใหม่นี้จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างก้าวกระโดด แต่ยังต้องเสริมด้วยแหล่งพลังงานที่ผลิตได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เช่น โรงไฟฟ้า Small Modular Reactor (SMR) หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก ซึ่งมีขนาดเล็กลง ปลอดภัยขึ้น และใช้พื้นที่วิกฤตน้อยเพียงหนึ่งตารางกิโลเมตรจากเดิมสิบสองเท่า นายอรรถพลชี้ว่าระบบนี้จะเข้ามาช่วงปลายแผน เมื่อเทคโนโลยีและต้นทุนพร้อมใช้งานจริง
อีกเทคโนโลยีสำคัญคือ พลังงานไฮโดรเจน ที่จะถูกประกาศให้เป็นผลิตภัณฑ์พลังงานทางกฎหมาย เพื่อรองรับการใช้ในอุตสาหกรรม โดยมุ่งพัฒนา “บลูและกรีนไฮโดรเจน” ซึ่งปลอดคาร์บอนจริงจากกระบวนการผลิตไฟฟ้าที่สะอาด พร้อมผลักดันให้ไทยเป็นฐานอุตสาหกรรมไฮโดรเจนในภูมิภาค
ส่วน Carbon Capture and Storage (CCS) จะเป็นกลไกหลักอีกประการหนึ่ง เขาเปิดเผยว่าการศึกษาเบื้องต้นพบว่า “อ่าวไทย” มีศักยภาพกักเก็บคาร์บอนได้ราว 7,000 ล้านตัน ซึ่งมากพอให้ไทยกลายเป็นศูนย์บริการ CCS แห่งภูมิภาคได้ โครงการนำร่องกำลังดำเนินการร่วมกับญี่ปุ่นเพื่อสำรวจโพรงใต้ดินอย่างละเอียด หากพิสูจน์ศักยภาพได้จริง การลงทุนในธุรกิจ CCS จะเป็นอีกหนึ่งเสาหลักเศรษฐกิจพลังงานของประเทศ
ด้านเชื้อเพลิงเปลี่ยนผ่าน นายอรรถพลมองว่าก๊าซธรรมชาติยังจำเป็นในช่วงที่ระบบพลังงานสะอาดยังไม่เต็มรูปแบบ ไทยจึงเร่งเปิดสัมปทานสำรวจแหล่งใหม่ในฝั่งอันดามัน ซึ่งเคยถูกมองว่าต้นทุนสูงแต่ปัจจุบันเทคโนโลยีลดค่าใช้จ่ายลงมาก ขณะเดียวกันจะเพิ่มสมรรถนะท่าเรือและโครงสร้างรับนำเข้า LNG เพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงานในระยะกลาง
นายอรรถพลยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในช่วงแรก แต่ยืนยันว่าจะบริหารให้ “ไม่กระทบประชาชน” ผ่านการดูแลกลุ่มเปราะบาง มาตรการภาษีและกลไกคาร์บอนเครดิตที่จะกระตุ้นให้ภาคธุรกิจลงทุนในเทคโนโลยีลดปล่อย พร้อมยกตัวอย่างว่า “โซลาร์ชุมชน” เองคือแบบจำลองของการช่วยประชาชนลดค่าใช้จ่ายได้จริง
ท้ายสุด นายอรรถพลทิ้งสารถึงทั้งภาคธุรกิจและประชาชนว่า การเปลี่ยนผ่านนี้คือ “จุดตื่นรู้ร่วมกัน” ประเทศไทยต้องเร่งยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว และทุกภาคส่วนต้องปรับตัวไปพร้อมกัน รัฐจะสร้างกติกาให้มั่นคง เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเดินหน้าไปบนเส้นทางเดียวกันสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืน