องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) รายงานว่า พบคลื่นความร้อนขนาดมหึมา ครอบคลุมพื้นที่ทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกเกือบ 40 ล้านตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าออสเตรเลียถึง 5 เท่า และมากกว่าไทยถึง 78 เท่า ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปี 2024 กลายเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์การเก็บข้อมูลอุณหภูมิยาวนาน 175 ปีของ WMO
รายงานระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในปี 2024 เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และเป็นปีที่เกิดเหตุการณ์ “สภาพอากาศสุดขั้ว” หลายกรณี เช่น ดินถล่มรุนแรงในฟิลิปปินส์ น้ำท่วมในออสเตรเลีย และธารน้ำแข็งละลายในอินโดนีเซีย
ปีนี้ยังทุบสถิติระดับน้ำทะเล โดยพบว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเลในปี 2024 สูงเกือบ 4 มิลลิเมตรต่อปี มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 3.5 มิลลิเมตรต่อปีอย่างมีนัยสำคัญ โดยสาเหตุหลักมาจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก
WMO ยังระบุว่า อุณหภูมิในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกในปี 2024 สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 1991–2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส
ศาสตราจารย์เซเลสเต ซาอูโล เลขาธิการ WMO กล่าวว่า ความร้อนและภาวะความเป็นกรดของมหาสมุทรร่วมกันก่อให้เกิด “ความเสียหายอย่างยาวนาน” ต่อระบบนิเวศทางทะเลและเศรษฐกิจ พร้อมเตือนว่า “ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อประเทศที่เป็นเกาะทั้งหมด” และเรากำลัง “หมดเวลาเปลี่ยนทิศลม”
เบน เชอร์ชิล ผู้อำนวยการ WMO ประจำภูมิภาคกล่าวว่า “นี่คือข้อความเรียกร้องให้มีการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง รายงานนี้แสดงให้เห็นว่าเรากำลังเผชิญกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
รายงานระบุว่า พื้นผิวมหาสมุทรในภูมิภาคเกือบ 40 ล้านตารางกิโลเมตรประสบคลื่นความร้อนทางทะเลระดับปานกลางถึงรุนแรงต่อเนื่องหลายเดือนในช่วงต้นปี และส่งผลให้แนวปะการัง Great Barrier Reef ของออสเตรเลียเกิดการฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 5 ตั้งแต่ปี 2016
รองศาสตราจารย์อเล็กซ์ เซน กุปตา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า “คลื่นความร้อนในมหาสมุทรครั้งนี้น่าทึ่งมาก เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน และยังไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมอุณหภูมิจึงเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้” พร้อมเตือนว่า สัตว์ทะเลจำนวนมากมีขีดจำกัดต่ออุณหภูมิ และเมื่อเกินจุดนั้น “พวกมันจะเริ่มล้มเหลว อพยพ หรือไม่ก็ตาย”
ที่มา: The Guardian