เชื้อเพลิงยั่งยืนเป็นหนึ่งในวิธียอดนิยมในอุตสาหกรรมการบิน ที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน
แม้เชื้อเพลิงอากาศยานจะมีหลายประเภท แต่โดยทั่วไปยังคงผลิตจากไฮโดรคาร์บอนซึ่งได้จากน้ำมันดิบหรือเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเดินทางทางอากาศยังคงมีความจำเป็นในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF (Sustainable Aviation Fuel) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวัฏจักรชีวิตของเชื้อเพลิงได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม
สำหรับอุตสาหกรรมการบินไทย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent: LOI) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ว่าด้วยความร่วมมือในการนำเชื้อเพลิงการบินแบบยั่งยืนที่ผลิตโดยผู้ผลิตภายในประเทศ มาใช้ นับเป็นความร่วมมือแรกในประเทศไทยที่นำ SAF จากแหล่งผลิตในประเทศมาใช้จริงในเชิงปฏิบัติการ
SAF คือเชื้อเพลิงอากาศยานที่ผลิตจากวัตถุดิบชีวภาพ เช่น น้ำมันพืชใช้แล้ว ไขมันสัตว์ หรือของเสียทางการเกษตร ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับน้ำมันเครื่องบินแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ SAF ยังสามารถนำมาใช้กับเครื่องยนต์ปัจจุบันได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนระบบมากนัก จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญของอุตสาหกรรมการบินในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นายเดชิศร์ เจริญวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายงานปฏิบัติการ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในอุตสาหกรรมการบินของไทย และสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ที่ตั้งเป้าหมายให้ภาคการบินบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050
ด้านนายชัยพฤฒิ วัชรีคุปต์ ผู้จัดการฝ่ายตลาดอากาศยานและเรือขนส่ง OR กล่าวว่า SAF ที่จะนำมาใช้ผลิตโดยบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ซึ่งใช้กระบวนการ Co-Processing รวมวัตถุดิบชีวภาพกับกระบวนการผลิตแบบเดิม นับเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการบินไทยเป็นครั้งแรกเพื่อเตรียมความพร้อมต่อทิศทางนโยบายด้านพลังงานสะอาดในอนาคต
แม้ SAF ยังมีต้นทุนการผลิตสูงและยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร แต่ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมของอุตสาหกรรมการบินไทยในการขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเดินทางทางอากาศ