ลุ้นผลงาน Nvidia ชี้ชะตาหุ้นสหรัฐฯ-หุ้นเทคโลก จะฟื้นหรือร่วงต่อ
ความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ราคาหุ้นเทค (ที่เชื่อมโยงกับ AI) ที่สูงเกินจริง และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่แน่นนอน รวมถึงความหวังต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ลดน้อยลง เป็นปัจจัยลบที่ทำให้เกิดการเทขายหุ้นทั่วโลก บวกกับปัจจัยเฉพาะวันคือ คลาวด์แฟลร์ล่ม (Cloudflare) ล่ม ดึงให้ราคาหุ้นทั่วโลกร่วงลงแรงในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 โดยเฉพาะหุ้นเทคในตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ดัชนี Nasdaq Composite ปรับลดลงถึง 1.21% สรุปความเสียหาย มูลค่าหุ้นทั่วโลกลดลงไปราว 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯปรับลดลง 0.83% ส่วนหุ้นเทคในตลาดหุ้นยุโรปที่เปิดและปิดตลาดก่อนร่วงลงใกล้เคียงกับหุ้นเทคสหรัฐฯ โดยดัชนี Stoxx Europe 600 Technology ร่วงลง 1.5% ขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเหมืองแร่และธนาคารก็เป็นอีกสองเซกเตอร์ที่ดึงให้ดัชนี Stoxx 600 ของยุโรปหล่นลงไปซื้อขายในแดนลบ ฝั่งตลาดหุ้นเอเชียก็ปรับตัวลงไปก่อน นำโดยหุ้นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่มีสัดส่วนบริษัทเทคโนโลยีในตลาดมากกว่าตลาดอื่นๆ ในเอเชีย
หุ้น Nvidia ร่วงแล้ว 14.53% จากจุดสูงสุด
ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่หุ้น Nvidia ทำสถิติราคาสูงสุดตลอดกาล (all-time high) ที่ 212.19 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ราคาหุ้นก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ นับถึงปิดตลาดวันที่ 18 พฤศจิกายน ร่วงลงแล้ว 14.53%
การที่ราคาหุ้น Nvidia ร่วงลง ส่วนหนึ่งเป็นผลเนื่องมาจากนักลงทุนรายใหญ่บางรายขายหุ้น AI ออกไป อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีการเปิดเผยข้อมูลว่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ของ ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีได้ขายหุ้น Nvidia ออกไปหมดพอร์ตในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับมาซาโยชิ ซัน (Masayoshi Son) ซีอีโอของซอฟต์แบงก์ (SoftBank) ซึ่งการขายบิ๊กลอตของนักลงทุนรายใหญ่นี้ทำให้เกิดความกังวลว่ากำลังจะเกิดการเทขายอย่างรุนแรงในตลาด
ความกังวลหลายเรื่องประกอบกัน ส่งผลให้นักลงทุนหวาดกลัว และตลาดหุ้นสหรัฐฯอยู่ในภาวะกลัวสุดขีด นับถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 ดัชนี S&P 500 ลดลงแล้ว 4.40% จากจุดสูงสุดครั้งล่าสุด และลดลงแล้ว 3.26% จากวันที่ 31 ตุลาคม 2025 ส่วนดัชนี Nasdaq Composite ลดลงแล้ว 9.50% จากจุดสูงสุดครั้งล่าสุด และลดลงแล้ว 5.46% จากวันที่ 31 ตุลาคม 2025
ลุ้นผลงาน Nvidia ชี้ชะตาหุ้นเทคทั่วโลก
ในขณะนี้ ไม่เกินจริงที่จะบอกว่า ชะตากรรมของตลาดหุ้นสหรัฐฯและหุ้นเทคทั่วโลก ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคตของเอ็นวิเดีย (Nvidia) ที่จะประกาศหลังปิดตลาดวันพุธที่ 19 พฤศจิกายนนี้ เพราะนักลงทุนกำลังมองหาสัญญาณที่จะให้ความมั่นใจว่าความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ AI นั้นเป็นความกังวลที่มากเกินไป และต้องการเห็นจากผลการดำเนินงานของ Nvidia ว่า โครงสร้างพื้นฐานของ AI กำลังเติบโตจริง
ด้วยความสำคัญของ Nvidia ในฐานะผู้ผลิตชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่ทรงพลัง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญและเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการฝึกฝนและใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่ ดังนั้น การประกาศตัวเลขยอดขายชิปและรายได้จากศูนย์ข้อมูล (data center) ของ Nvidia จึงเป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนที่สุดว่าเงินลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯในอุตสาหกรรม AI นั้นจริงเพียงใด หากผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าคาดจะตอกย้ำความเชื่อมั่นว่า AI ยังอยู่ในช่วงเติบโตอย่างรวดเร็ว ตลาดหุ้นจะกลับมามีมุมมองในแง่ดีอีกครั้ง
แต่หากผลการดำเนินงานของ Nvidia ไม่สามารถให้ความมั่นใจได้ หรือพลาดเป้า อาจทำให้ตลาดมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับฟองสบู่ AI และราคาที่สูงเกินจริงของหุ้นที่เชื่ออมโยงกับ AI และสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ตลาดจะเทขายหุ้นเทคต่อไป ซึ่งจะดึงตลาดหุ้นสหรัฐฯให้ร่วงลงไปอีก เพราะหุ้นเทคที่เชื่อมโยงกับ AI ครอบงำตลาดอยู่ ตามที่ เจพีมอร์แกน (JPMorgan) ประเมินว่า ประมาณ 44% ของมูลค่าดัชนี S&P 500 ในปัจจุบัน มาจากบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 30 บริษัทที่มุ่งเน้นด้าน AI
ไบรอัน สตัทแลนด์ (Brian Stutland) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของอาร์เมอร์ อินเวสต์เมนต์ส (Armor Investments) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันที่ลงทุนในหุ้น Nvidia กล่าวว่า ในทุกๆ ไตรมาสที่ผ่านไป รายได้ของ Nvidia มีความสำคัญมากขึ้นในแง่ของการเป็นตัวชี้วัดว่า AI กำลังเคลื่อนไปในทิศทางใด และมีการใช้จ่ายไปมากน้อยเพียงใด
นักลงทุนคาดหวังสูง Nvidia อาจดึงตลาดขึ้นไม่ได้
ปัจจุบัน Nvidia มีมูลค่าตลามราคาตลาด (market cap) ใหญ่กว่าอุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมวัสดุ และภาคอสังหาริมทรัพย์รวมกัน และในบางวัน มูลค่าตลาดของ Nvidia ยังแซงหน้ามูลค่าตลาดรวมของสามภาคส่วนที่ว่ามาบวกกับภาคสาธารนูปโภค (ซึ่งประกอบด้วยบริษัทที่ให้บริการพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา และก๊าซ) อีกด้วย
ด้วยขนาดที่ใหญ่มโหฬารของ Nvidia ไรอัน กราบินสกี (Ryan Grabinski) กรรมการผู้จัดการของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน Strategas Asset Management จึงวิเคราะห์ว่า ผลการดำเนินงานของ Nvidia ที่จะประกาศออกมาน่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปทั่วทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดต่างประเทศ แม้ว่าความคาดหวังต่อ AI ในวงกว้างจะลดลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่รายงานนี้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของตลาดให้กลับไปมองโลกในแง่ดีอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม กราบินสกีบอกว่า ความคาดหวังที่นักลงทุนมีต่อผลประกอบการของ Nvidia นั้นสูงมาก หมายความว่ามีความเป็นไปได้มากที่ผลการดำเนินงานของ Nvidia อาจจะออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อหุ้น Nvidia และภาพรวมของตลาด
