
สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ตกลงร่วมกันที่จะสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เปิดเผยเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีของ เจฟฟรีย์ เอปสตีน นักการเงินที่กระทำความผิดทางเพศ โดยสภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติคำสั่งดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 427 ต่อ 1 ขณะที่วุฒิสภาเร่งรัดกระบวนการโดยให้ผ่านร่างกฎหมายนี้อย่างเป็นเอกฉันท์โดยไม่มีการลงมติอย่างเป็นทางการ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เปลี่ยนท่าทีเดิมของตน และเรียกร้องให้รัฐสภาลงมติเพื่อเปิดเผยบันทึกดังกล่าว หลังถูกกดดันอย่างหนักจากสาธารณชนและผู้สนับสนุนจำนวนมาก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์และเอปสตีนได้กลับมาเป็นประเด็นพาดหัวข่าวอีกครั้ง หลังจากที่มีการเผยแพร่เอกสารมากกว่า 20,000 หน้า ซึ่งบางส่วนมีการกล่าวถึงประธานาธิบดีด้วย แต่ทำเนียบขาวได้ออกมาปฏิเสธว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดใด ๆ ของเอปสตีน
ขณะที่ เคลย์ ฮิกกินส์ ส.ส. พรรครีพับลิกันจากรัฐลุยเซียนา เป็นผู้เดียวที่คัดค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยอ้างถึงความกังวลว่า บุคคลผู้บริสุทธิ์จะได้รับผลกระทบจากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว
การเปลี่ยนท่าทีของทรัมป์สร้างความสนใจจากสื่อมวลชนและชาวอเมริกันจำนวนมาก เพราะจากที่เคยโจมตีบรรดา ส.ส. ที่ต้องการเปิดเผยเอกสาร กลับกลายมาเป็นสนับสนุนให้เปิดเผยเสียเอง โดยทรัมป์กล่าวว่า ไม่มีอะไรต้องปิดบัง" แม้แต่ผู้นำพรรครีพับลิกันในรัฐสภาต่างก็รู้สึกตกใจ หลังจากที่พวกเขาได้ดำเนินแนวทางเดียวกับประธานาธิบดีในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาและคัดค้านการเปิดเผยเอกสาร
ด้าน ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร เคยเรียกความพยายามในการเปิดเผยเอกสารเอปสตีนซ้ำ ๆ ว่าเป็น "เรื่องหลอกลวงของพรรคเดโมแครต" แต่ในวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาเองก็ได้ลงคะแนนสนับสนุนการเปิดเผยเอกสาร
ร่างกฎหมายนี้คาดว่า จะใช้เวลาหลายวันกว่าจะเข้าสู่วุฒิสภาสหรัฐฯ แต่หลังจากที่มีการลงมติในช่วงบ่าย กำหนดเวลาก็ถูกเร่งให้เร็วขึ้นทันที ด้าน ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา ได้เสนอร่างกฎหมายนี้ต่อที่ประชุมวุฒิสภาโดยผ่านขั้นตอนที่เรียกว่า "ฉันทามติเป็นเอกฉันท์" เนื่องจากไม่มีผู้ใดคัดค้าน จึงไม่มีการอภิปรายและไม่มีการเพิ่มการแก้ไขใด ๆ ในร่างกฎหมาย
ร่างกฎหมายนี้จะถูกส่งจากวุฒิสภาไปยังโต๊ะทำงานของประธานาธิบดี ซึ่งคาดการณ์ว่าจะลงนามให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายเร็ว ๆ นี้
ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ แพม บอนดี อัยการสูงสุด ต้องเปิดเผย “บันทึก เอกสาร การสื่อสารรูปแบบใด ๆ และหลักฐานการสอบสวนที่ไม่มีการจำแนกชั้นความลับ” ที่เกี่ยวข้องกับเอปสตีนและ กิสเลน แม็กซ์เวลล์ ผู้สมรู้ร่วมคิด กระบวนการนี้จะเกิดขึ้น ภายใน 30 วัน หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ และหลักฐานเหล่านั้น รวมถึงการสื่อสารภายในกระทรวงยุติธรรม บันทึกการบิน และบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเอปสตีน
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ให้อำนาจแก่ บอนดี ในการระงับข้อมูลที่อาจเป็นอันตรายต่อการสอบสวนของรัฐบาลกลางที่ยังดำเนินอยู่ หรือข้อมูลที่ระบุตัวตนของเหยื่อรายใดรายหนึ่งได้
เอปสตีนถูกพบว่าเสียชีวิตในห้องขังเรือนจำที่นิวยอร์กในปี 2019 โดยแพทย์ชันสูตรศพได้ตัดสินว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เขาถูกควบคุมตัวในข้อหาค้ามนุษย์เพื่อการค้าประเวณี หลังจากที่เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานชักชวนให้ค้าประเวณีกับผู้เยาว์ในปี 2008 ระหว่างการสอบสวนคดีอาญาของเอปสตีน มีการรวบรวมเอกสารหลายพันฉบับ รวมถึงสำเนาการสัมภาษณ์เหยื่อและพยาน
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์และเอปสตีนเคยมีปฏิสัมพันธ์กันในแวดวงสังคมคล้ายคลึงกัน แต่ประธานาธิบดีกล่าวว่า เขาได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเอปสตีนมาหลายปีแล้ว ก่อนที่เอปสตีนจะถูกตัดสินลงโทษในปี 2008 ประธานาธิบดียังกล่าวด้วยว่าเขาไม่ทราบถึงกิจกรรมทางอาญาของเอปสตีน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สมาชิกพรรคเดโมแครตในคณะกรรมาธิการกำกับดูแลของสภาผู้แทนราษฎรได้เผยแพร่อีเมลสามชุด รวมถึงการติดต่อโต้ตอบระหว่างเอปสตีนและแม็กซ์เวลล์ ซึ่งปัจจุบันกำลังรับโทษจำคุก 20 ปี ในข้อหาค้ามนุษย์เพื่อการค้าประเวณี
อีเมลบางฉบับมีการกล่าวถึงทรัมป์ โดยมีอีเมลฉบับหนึ่งที่ส่งในปี 2011 ซึ่งเอปสตีนเขียนถึงแม็กซ์เวลล์ว่า: “ฉันต้องการให้เธอตระหนักว่าหมาที่ยังไม่เห่าตัวนั้นคือทรัมป์” พร้อมระบุว่าเหยื่อได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงที่บ้านของเอปสตีนกับทรัมป์
ทำเนียบขาวกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เหยื่อที่ถูกอ้างถึงในอีเมลคือ เวอร์จิเนีย จิฟเฟร ผู้กล่าวหาเอปสตีนคนสำคัญ จิฟเฟร ซึ่งเสียชีวิตเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เคยกล่าวว่า เธอไม่เคยเห็นทรัมป์มีส่วนร่วมในการล่วงละเมิดใด ๆ และไม่มีการบ่งชี้ถึงการกระทำความผิดใด ๆ ของทรัมป์จากอีเมลเหล่านั้น
ทรัมป์ปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดใด ๆ กับเอปสตีน และ แคโรไลน์ ลีวิตต์ เลขานุการฝ่ายสื่อของทำเนียบขาว กล่าวว่าอีเมลเหล่านี้เป็นการเลือกเปิดเผยโดยสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาต่อสื่อเสรีนิยมเพื่อสร้างเรื่องราวปลอม ๆ มาทำลายชื่อเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์
โธมัส แมสซี ส.ส. พรรครีพับลิกันจากรัฐเคนทักกี และ โร คันนา ส.ส. พรรคเดโมแครตจากรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นผู้นำในการผลักดันร่างกฎหมายให้กระทรวงยุติธรรมเปิดเผยเอกสารสอบสวนคดีนี้ โดยถือเป็นความร่วมมือข้ามพรรค โดยแมสซีมีจุดยืนที่แตกต่างจากพรรครีพับลิกัน ทำให้เขาตัดสินใจร่วมมือกับคันนาจากพรรคเดโมแครตในการเสนอกฎหมายฉบับนี้
ส.ส. แมสซีต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากความพยายามของเขาในการเปิดเผยเอกสาร แต่แมสซียังคงยืนหยัดในจุดยืนของตน โดยให้สัมภาษณ์กับ ABC News เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “ในปี 2030 เขา [ทรัมป์] จะไม่ได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว” เป็นการสื่อว่าการตัดสินใจของเขาทำเพื่อหลักการระยะยาว ไม่ใช่เพื่อความจงรักภักดีต่อผู้นำพรรคในปัจจุบัน
นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงเพื่อนร่วมพรรครีพับลิกันที่ลงคะแนนคัดค้านการเปิดเผยเอกสารอย่างเผ็ดร้อน โดยระบุว่า การกระทำของพวกเขาเท่ากับ "ลงคะแนนเพื่อปกป้องผู้กระทำชำเราเด็ก" ซึ่งเป็นการสร้างแรงกดดันทางศีลธรรมอย่างรุนแรงต่อผู้ที่ต้องการปกปิดข้อมูลในคดีนี้
ส.ส. พรรครีพับลิกันอีกคนหนึ่งที่ผลักดันให้มีการเปิดเผยเอกสารคือ มาร์จอรี เทย์เลอร์ กรีน เธอเคยเป็นผู้สนับสนุนทรัมป์อย่างแข็งขัน ก่อนที่ทั้งสองจะแตกคอกันในประเด็นนี้ โดยปัจจุบันประธานาธิบดีเรียกเธอว่า "คนทรยศ"
ในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กรีนกล่าวว่าเธอออกมาพูดแทนเหยื่อผู้รอดชีวิตจากเอปสตีน และเธอได้กล่าวถึงทรัมป์โดยตรง กรีนเคยกล่าวว่า "ให้ฉันบอกคุณนะ ว่าคนทรยศคืออะไร คนทรยศคือคนอเมริกันที่รับใช้ต่างชาติและตัวเอง ส่วนผู้รักชาติคือคนอเมริกันที่รับใช้สหรัฐอเมริกาและชาวอเมริกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังฉัน"
เธอกล่าวว่า ความขัดแย้งเรื่องเอปสตีนนี้เป็นหนึ่งใน "สิ่งที่ทำลายล้าง" ต่อขบวนการ "Make America Great Again" ของทรัมป์ นับตั้งแต่เขาได้รับเลือกตั้งในปี 2016
ผู้รอดชีวิตจากการล่วงละเมิดของเอปสตีนก็ได้เข้าร่วมในการแถลงข่าว โดยเรียกร้องให้สมาชิกสภานิติบัญญัติเปิดเผยเอกสารและเรียกร้องให้ทรัมป์ทำเช่นเดียวกัน แอนนี ฟาร์เมอร์ ผู้รอดชีวิตจากเอปสตีน กล่าวว่า การเก็บเอกสารไว้เป็นความลับเท่ากับการ "ทรยศต่อสถาบัน… เพราะอาชญากรรมเหล่านี้ไม่ได้รับการสอบสวนอย่างเหมาะสม จึงมีเด็กผู้หญิงและผู้หญิงอีกจำนวนมากที่ได้รับอันตราย"
หากเอกสารของกระทรวงยุติธรรมที่ถูกเปิดเผยออกมาตามกฎหมายฉบับใหม่ มีหลักฐานที่ชัดเจนและได้รับการยืนยันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางอาญาของเอปสตีน เช่น การรู้เห็นหรือการอำนวยความสะดวกในการค้ามนุษย์เพื่อการค้าประเวณี ผลลัพธ์ที่ตามมาจะร้ายแรงอย่างยิ่ง แม้ว่าจนถึงปัจจุบันทรัมป์ยังไม่เคยถูกตั้งข้อหาใด ๆ ในคดีนี้ แต่การเปิดเผยหลักฐานใหม่ที่น่าเชื่อถืออาจนำไปสู่การ เปิดการสอบสวนคดีอาญาใหม่ ในระดับรัฐบาลกลางหรือรัฐบาลท้องถิ่น
การสอบสวนในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น มีความซับซ้อนภายใต้กฎหมายสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในทันทีคือ ผลกระทบทางการเมือง พรรคเดโมแครตและฝ่ายค้านจะใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อกดดันให้มีการดำเนินการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง และจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของเขาท่ามกลางผู้สนับสนุนและสาธารณชน
ในแง่ของการเมืองและภาพลักษณ์สาธารณะ ข้อมูลที่เชื่อมโยงประธานาธิบดีทรัมป์เข้ากับเครือข่ายของเอปสตีน โดยเฉพาะเรื่องการล่วงละเมิดผู้เยาว์ จะสร้างความร้าวฉานอย่างรุนแรงต่อฐานเสียงของพรรครีพับลิกัน แม้ว่าฐานเสียงหลักจะยังคงภักดี แต่กลุ่มผู้สนับสนุนอนุรักษนิยมทางสังคมและกลุ่มผู้หญิงอาจเกิดความลังเลและตีตัวออกห่างได้ ข่าวฉาวดังกล่าวจะกลายเป็น ประเด็นหลักในการหาเสียงเลือกตั้ง ทำให้พรรคเดโมแครตและคู่แข่งทางการเมืองสามารถใช้ประเด็นนี้โจมตีทรัมป์อย่างต่อเนื่องได้
นอกจากนี้ การที่ทรัมป์เคยเปลี่ยนท่าทีจากการคัดค้านมาเป็นสนับสนุนการเปิดเผยเอกสาร อาจถูกตีความว่าเป็นความพยายามควบคุมการเล่าเรื่อง ก่อนที่ข้อมูลจะถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดความสงสัยในความจริงใจของเขามากขึ้นไปอีก และเพิ่มความตึงเครียดภายในพรรครีพับลิกันเองด้วย