กว่า 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญที่ผลักดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปดู timeline การปรับอัตราดอกเบี้ย ของ ธปท. จาก 0.25-2.50% ว่ามีมาแล่วกี่ครั้ง รวมถึงวิเคราะห์ทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต เพื่อให้คุณเข้าใจภาพรวมของสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. จาก 0.25-2.50% ปัจุจบันปรับขึ้น มาแล้วกี่ครั้ง
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา กล่าวคือ การควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับกรอบเป้าหมาย การพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยในแต่ละครั้งนั้น ธปท. ได้ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดยรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มีดังต่อไปนี้
ตารางแสดงวิวัฒนาการอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย
Date | Rate Change (%) | Policy Rate (%) | Inflation (%) |
10 สิงหาคม 2565 | 0.25 | 0.75 | 7.86 |
28 กันยายน 2565 | 0.25 | 1 | 6.41 |
30 พฤศจิกายน 2565 | 0.25 | 1.25 | 5.55 |
25 มกราคม 2566 | 0.25 | 1.5 | 2.02 |
29 มีนาคม 2566 | 0.25 | 1.75 | 2.83 |
31 พฤษภาคม 2566 | 0.25 | 2 | 0.53 |
2 สิงหาคม 2566 | 0.25 | 2.25 | 0.88 |
27 กันยายน 2566 | 0.25 | 2.5 | 0.33 |
พ.ศ. 2565
- 10 สิงหาคม 2565: คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 0.50% เป็น 0.75% สืบเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับสูงถึง 7.86%
- 28 กันยายน 2565: กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 0.75% เป็น 1.00% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 6.41%
- 30 พฤศจิกายน 2565: กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.00% เป็น 1.25% โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงมาอยู่ที่ 5.55%
พ.ศ. 2566
- 25 มกราคม 2566: กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.25% เป็น 1.50% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2.02%
- 29 มีนาคม 2566: กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75% โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.83%
- 31 พฤษภาคม 2566: กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 2.00% แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 0.53%
- 2 สิงหาคม 2566: กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.00% เป็น 2.25% โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.88%
- 27 กันยายน 2566: กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.25% เป็น 2.50% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงมาอยู่ที่ 0.33%
สรุปธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง จาก 0.25-2.5% จำนวน 10 ครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 จนถึงปัจจุบัน (27 กันยายน 2566) โดยเริ่มจาก 0.05% และปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.50% ในปัจจุบัน
คลังถก ธปท. วอนลดดอกเบี้ย! ชี้หนี้ครัวเรือนพุ่ง หวั่นฉุดเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ แม้ท่าทีของรัฐบาลจะแสดงถึงความต้องการให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมเดือนตุลาคมนี้
ภายใต้บริบทของความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ครัวเรือนและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าหารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมีประเด็นสำคัญในการหารือ ได้แก่ กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน และภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันถึงการเคารพในหลักการและอำนาจหน้าที่ของ กนง. ในการดำเนินนโยบายการเงิน
อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะเริ่มพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ประกอบการตัดสินใจ ทั้งนี้ การคาดการณ์ดังกล่าวยังคงมีความไม่แน่นอน จึงจำเป็นต้องติดตามการประชุมและประกาศมติของ กนง. อย่างใกล้ชิดต่อไป
ดอกเบี้ยขาขึ้น ทางเลือกที่จำเป็น? การตัดสินใจของ ธปท. ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องของธปท. สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงหลัง แต่ ธปท. ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- แรงกดดันเงินเฟ้อจากต่างประเทศ: แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยจะชะลอตัวลง แต่สถานการณ์เงินเฟ้อโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยต่างๆ เช่น ราคาพลังงาน และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการในประเทศไทย
- อุปสงค์ในประเทศที่ยังขยายตัว: การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนยังคงมีแนวโน้มขยายตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
- ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน: อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานอาจนำไปสู่การสะสมความเสี่ยงในระบบการเงิน เช่น การก่อหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นการช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ เช่น การชะลอตัวของการลงทุน และภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นของภาคธุรกิจและครัวเรือน ดังนั้น ธปท. จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และพิจารณาปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในอนาคต สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม อาทิ
- ทิศทางอัตราเงินเฟ้อ: ธปท. จะติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ เช่น ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และค่าเงินบาท
- การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก และสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
- เสถียรภาพระบบการเงิน: ธปท. จะติดตามความเสี่ยงในระบบการเงินอย่างใกล้ชิด เช่น ระดับหนี้ครัวเรือน และความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์
การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ในระยะต่อไป จะต้องมีความสมดุลระหว่างการรักษาเสถียรภาพด้านราคา การสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน โดย ธปท. จะติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน