Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ผู้ว่า ธปท. มุ่งดูแลคนไทย ลุยแก้หนี้ ดัน SMEs เข้าถึงทุน ยันเงินไม่ฝืด
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ผู้ว่า ธปท. มุ่งดูแลคนไทย ลุยแก้หนี้ ดัน SMEs เข้าถึงทุน ยันเงินไม่ฝืด

10 ต.ค. 68
17:49 น.
แชร์

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเวทีพูดคุยกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ในงาน “GovernorConnect” ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 โดยได้อธิบายแนวทางการทำงานของธปท.ในยุคใหม่ พร้อมย้ำภารกิจสำคัญในการธำรงเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ ควบคู่กับการปรับบทบาทของธปท.ให้ใกล้ชิดกับสังคมและประชาชนมากขึ้น เพื่อให้ทุกนโยบายทางการเงินและมาตรการที่ออกมาส่งผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อเศรษฐกิจจริง

ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน เทคโนโลยีทางการเงินที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และสังคมไทยที่กำลังเผชิญโจทย์เชิงโครงสร้าง เช่น ภาระหนี้ครัวเรือนสูง สังคมผู้สูงอายุ และความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการเงิน นายวิทัยประกาศชัดว่า ธปท.จะเดินหน้าทำงานด้วยหลักเสถียรภาพบนฐานของประชาชน คือการดำเนินนโยบายการเงินที่มั่นคง โปร่งใส และเป็นอิสระจากแรงกดดันทางการเมือง ขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดรับการทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งในมิติของเสถียรภาพ การเข้าถึง และคุณภาพชีวิตของประชาชน

วิทัยย้ำ ธปท.รักษาเสถียรภาพควบคู่การเติบโตยั่งยืน

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.จะยังคงยึดมั่นในภารกิจหลักของธนาคารกลางในการ “รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค” (Macroeconomic Stability) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม 

ภารกิจนี้ครอบคลุมสามด้านหลัก ได้แก่ เสถียรภาพด้านราคา เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน ทั้งสามส่วนมีความเชื่อมโยงกันและต้องดำเนินควบคู่ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน มีภูมิคุ้มกันต่อความผันผวนจากทั้งในและต่างประเทศ และสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเศรษฐกิจได้ในระยะยาว

ในด้านเสถียรภาพด้านราคา (Price Stability) ธปท.จะมุ่งดูแลให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ (low and stable) เพื่อรักษากำลังซื้อของประชาชนและความสามารถในการวางแผนของภาคธุรกิจ โดยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด ซึ่งจะกระทบต่อการบริโภคและการลงทุน รวมถึงผลักดันให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลางตามที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ นายวิทัยเน้นว่า การควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเหมาะสมเป็นพื้นฐานสำคัญของการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะหากปล่อยให้เงินเฟ้อผันผวนมาก จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน และสร้างความไม่แน่นอนให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม

ในด้านเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Stability) ธปท.จะให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงของสถาบันการเงิน เพื่อให้สามารถให้บริการประชาชน ลูกหนี้ และภาคธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งดูแลไม่ให้เกิดจุดเปราะบางที่อาจลุกลามกลายเป็นวิกฤตในอนาคต นายวิทัยกล่าวว่า ธปท.จะติดตามความเสี่ยงในระบบอย่างใกล้ชิด ทั้งในภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และตลาดการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมความเสี่ยงเชิงระบบ พร้อมสนับสนุนให้สถาบันการเงินปรับตัวและพัฒนาเครื่องมือบริหารความเสี่ยงให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจดิจิทัลและภูมิทัศน์ทางการเงินใหม่

สำหรับเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน (Payment System Stability) ธปท.จะเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และทันสมัย โดยเน้นให้ระบบการชำระเงินสามารถรองรับความต้องการของประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐได้อย่างทั่วถึง สะดวก รวดเร็ว และในต้นทุนที่เหมาะสม ทั้งนี้ การยกระดับระบบการชำระเงินยังเป็นรากฐานสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินในระยะยาว

นายวิทัยย้ำว่า ธปท.จะดำเนินนโยบายอย่างเป็นอิสระภายใต้กรอบกฎหมาย เพื่อให้การตัดสินใจทางนโยบายไม่ถูกกดดันจากปัจจัยทางการเมือง โดยเน้นยึดหลักวิชาการและความรอบคอบในการพิจารณานโยบายทุกด้าน ขณะเดียวกัน ธปท.จะให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง เพื่อให้ “นโยบายการเงิน” และ “นโยบายการคลัง” ดำเนินไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน (Policy Coordination) 

ในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสนับสนุนการเติบโตอย่างสมดุล เขากล่าวว่า “เศรษฐกิจที่ตกต่ำเกินไปย่อมไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร” ดังนั้น การรักษาเสถียรภาพและการส่งเสริมการเติบโตต้องดำเนินควบคู่กัน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีภูมิคุ้มกัน มีความสามารถในการแข่งขัน และสามารถยกระดับศักยภาพของประเทศในระยะยาว

นอกจากนี้ นายวิทัยระบุว่า ธปท.จะทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อผลักดันนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ โดยเฉพาะในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การยกระดับศักยภาพแรงงาน และการส่งเสริมระบบการเงินที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งนี้ ธปท.จะใช้บทบาทของธนาคารกลางไม่เพียงแต่ในมิติของเสถียรภาพระยะสั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างรากฐานความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวให้แก่ประเทศด้วย

“มาตรการเฉพาะจุด” และการขับเคลื่อนนโยบายที่ใกล้ประชาชนมากขึ้น

นอกจากแนวทางในการรักษาเสถียรภาพการเงิน นายวิทัย ยังเปิดเผยแนวทางการดำเนินงานและทิศทางนโยบายในยุคใหม่ของธนาคารกลาง โดยย้ำว่า ธปท.จะไม่จำกัดบทบาทอยู่เพียงการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคเท่านั้น แต่จะขยับ “เข้าใกล้ประชาชนมากขึ้น” ทั้งในแง่การรับฟังปัญหา การสื่อสารนโยบาย และการออกมาตรการที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของผู้คน โดยมีเป้าหมายให้ทุกนโยบาย “ตอบได้ชัดว่า ประชาชนได้อะไร ประเทศได้อะไร และสังคมได้อะไร” ซึ่งถือเป็นกรอบคิดสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านของ ธปท.ไปสู่ยุคของ “ธนาคารกลางที่เชื่อมโยงกับประชาชน”

นายวิทัยกล่าวว่า ในยุคนี้ ธปท.จะใช้แนวทาง “มาตรการเฉพาะจุด” (Targeted Measures) เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระดับฐานราก เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินในภาพกว้างมีประสิทธิผลมากขึ้น มาตรการเหล่านี้จะอิงกับข้อมูลจริง และมุ่งให้เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ เช่น การลดภาระหนี้ของครัวเรือน การเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อ และการส่งเสริมความเท่าเทียมทางการเงิน

หนึ่งในโครงการสำคัญคือ การจัดตั้ง บริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ AMC แก้หนี้ ที่จะมุ่งไปที่กลุ่มหนี้ไม่มีหลักประกัน และยอดหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท กลุ่มเป้าหมายนี้มีประมาณ 3.4 ล้านราย รวมมูลค่าหนี้กว่า 123,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับรัฐบาล กระทรวงการคลัง และสถาบันการเงิน เพื่อเร่งดำเนินการโอนหนี้เข้าสู่ระบบบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเชิงโครงสร้าง และเป็นตัวอย่างของ “นโยบายเฉพาะจุด” ที่ ธปท.ตั้งใจจะขยายผลในระยะต่อไป

นอกจากนี้ ธปท.ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (Financial Inclusion) โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ผ่านกลไกค้ำประกันสินเชื่อที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้ผู้มีศักยภาพสามารถเข้าถึงสภาพคล่องได้โดยไม่ถูกจำกัดจากข้อจำกัดด้านหลักประกัน พร้อมเร่งนำหลักการ Risk-Based Pricing (RBP) มาใช้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้สะท้อนความเสี่ยงของผู้กู้ได้อย่างเป็นธรรม ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในโอกาสทางการเงินและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสินเชื่อโดยรวม

อีกประเด็นสำคัญที่อยู่ระหว่างการดำเนินการคือการ ทบทวนค่าธรรมเนียมบริการทางการเงิน (Fair Pricing) เพื่อให้โครงสร้างค่าธรรมเนียมสะท้อนต้นทุนจริง และลดภาระผู้บริโภค ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงินในมิติใหม่ ที่สอดคล้องกับพันธกิจหลักของธนาคารกลางในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง

ขณะเดียวกัน ธปท.ยังคงสานต่อพันธกิจด้านการพัฒนาภาคการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมของระบบการเงินไทยให้รองรับกระแสโลกใหม่ ทั้งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โครงการสำคัญภายใต้แนวทางนี้ ได้แก่

  • Your Data: ยกระดับความโปร่งใสในการประเมินสินเชื่อและเพิ่มความเป็นธรรมในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยใช้ข้อมูลเครดิตในมิติใหม่เพื่อประเมินศักยภาพผู้กู้ได้อย่างครอบคลุม
  • Digital Payment: พัฒนาระบบการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ยืดหยุ่น และเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจจริง เพื่อสนับสนุนธุรกรรมในชีวิตประจำวันและภาคธุรกิจอย่างทั่วถึง
  • Virtual Bank: ส่งเสริมการแข่งขันในระบบธนาคารและเปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงบริการทางการเงินได้สะดวกขึ้น

นอกจากนี้ นายวิทัยยังยืนยันว่า โครงการดี ๆ จากยุคของผู้ว่าธปท. คนก่อน เช่น NACGA, Risk-Based Pricing, Virtual Bank และ Your Data จะไม่เพียงถูกรักษาไว้ แต่จะ “เร่งผลักดันให้เกิดผลจริง ไม่อยู่บนกระดาษ” โดย ธปท.จะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกโครงการสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้

ในเชิงหลักการ ธปท.ยังคงยึดมั่นในภารกิจหลักของธนาคารกลาง คือการรักษา เสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Stability) ซึ่งครอบคลุมทั้งเสถียรภาพด้านราคา (รักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและคงที่), เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน (ให้สถาบันการเงินมีความเข้มแข็งและสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง), และเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน (ให้ระบบมีประสิทธิภาพและความมั่นคง) ทั้งนี้ ธปท.จะคงความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน แต่จะเปิดกว้างต่อการประสานงานกับหน่วยงานรัฐและภาคเอกชน เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างสมดุล

นายวิทัยยังเน้นย้ำเรื่อง การยกระดับความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และ การสร้างวินัยทางการเงินในสังคมไทย ซึ่งนายวิทัยมองว่าเป็นรากฐานของความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไปจากเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มออนไลน์ “เราต้องสอนให้คนไทยไม่เพียงรู้จักออม แต่ต้องรู้จักใช้จ่าย” เขากล่าว พร้อมระบุว่า ธปท.จะร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการเงิน การออมระยะยาว การใช้เงินอย่างมีสติ และการลดพฤติกรรม “กลัวตกเทรนด์” (FOMO) ที่อาจนำไปสู่หนี้สินโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะพฤติกรรม “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” (Buy Now Pay Later) ที่ ธปท.กำลังติดตามอย่างใกล้ชิด และพร้อมเข้าดูแลหากพบว่ามีผลต่อวินัยทางการเงินของประชาชน

ในบริบทของ “สังคมสูงวัย” ธปท.จะร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนผลักดันการส่งเสริมการออมเพื่อวัยเกษียณให้เป็นวาระแห่งชาติ ผ่านการรณรงค์ให้ประชาชนเริ่มออมตั้งแต่อายุยังน้อย และส่งเสริมให้เยาวชนเรียนรู้หลักการออมและการบริหารเงินตั้งแต่ช่วงต้นชีวิต เพื่อสร้างวินัยทางการเงินที่ยั่งยืนในสังคม

นายวิทัยกล่าวว่า “ทุกนโยบายและมาตรการของ ธปท. จะต้องตอบได้ว่าประชาชนได้อะไร ประเทศได้อะไร และสังคมได้อะไร” พร้อมยืนยันว่าธนาคารกลางจะไม่หยุดอยู่เพียงการรักษาเสถียรภาพทางตัวเลขมหภาค แต่จะเป็น “ธนาคารกลางที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนและสังคมมากขึ้น” โดยทุกแนวคิดต้องนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง และจะสื่อสารต่อสาธารณชนอย่างโปร่งใสผ่านกิจกรรม GovernorConnect อย่างสม่ำเสมอ เพื่อรายงานความคืบหน้านโยบายและรับฟังข้อเสนอจากประชาชนโดยตรง เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคง สมดุล และยั่งยืน เพื่อให้ทั้งประเทศและประชาชนได้รับประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว

ธปท. ยันยังมี Policy Space พร้อมลดดอกเบี้ยในเวลาที่เหมาะสม

สำหรับทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย นายวิทัย กล่าวว่า แม้ตลอดปีที่ผ่านมา กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่องรวม 1 จุดเปอร์เซ็นต์ แต่ผลของการลดดอกเบี้ยยังไม่สะท้อนเต็มที่ เนื่องจากนโยบายการเงินมักใช้เวลาระหว่าง 6-12 เดือนกว่าจะเห็นผลชัดเจน “ตอนนี้เรายังมี Policy Space เหลืออยู่ และระดับดอกเบี้ย 1.5% ถือว่าต่ำมากแล้วในเชิงเปรียบเทียบ แต่ยังสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ หากจำเป็น เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจและดันเงินเฟ้อให้กลับสู่กรอบเป้าหมาย” นายวิทัยกล่าว

สำหรับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุดที่มีเสียงเห็นต่าง 2 เสียงในประเด็นการลดดอกเบี้ย นายวิทัยระบุว่า “แม้จะเป็นมติ 5 ต่อ 2 แต่มุมมองของทั้งคณะไม่ได้แตกต่างกันมาก เป็นเรื่องของเวลา (Timing) มากกว่า เพราะมาตรการที่ออกไปยังอยู่ในช่วงรอให้เห็นผลครบ 6-12 เดือน บางท่านจึงมองว่าควรชะลอไว้ใช้ในเวลาที่เหมาะสม” เขาย้ำว่าทิศทางโดยรวมของกนง.ยังชัดเจน คือพร้อมผ่อนคลายนโยบายต่อ หากข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาในรอบถัดไปบ่งชี้ถึงความจำเป็น

เมื่อถูกถามว่าระดับดอกเบี้ย 1.5% ถือว่า “ใกล้หมดกระสุน” แล้วหรือไม่ นายวิทัยตอบชัดว่า “ยังมี Policy Space เหลืออยู่” พร้อมย้ำว่า นอกจากเครื่องมือดอกเบี้ย ธปท.ยังมีมาตรการเฉพาะจุดที่สามารถเสริมกันได้ เช่น มาตรการช่วยเหลือ SME และภาคครัวเรือน “ทั้งหมดนี้จะเป็นเหมือนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่ต่อกัน เพื่อให้เศรษฐกิจ สังคม และประชาชนได้รับผลบวกอย่างเป็นรูปธรรม” ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว

ธปท.มั่นใจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด พร้อมผ่อนคลายเพิ่มหากจำเป็น

สำหรับสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบัน นายวิทัยชี้ว่า เงินเฟ้อทั่วไปของไทย (Headline Inflation) ในปีนี้อยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลงจากปีก่อน สองหมวดนี้มีน้ำหนักรวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของตะกร้าเงินเฟ้อ ส่งผลให้ตัวเลขเงินเฟ้อโดยรวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่เมื่อหักสองหมวดนี้ออกจะเห็นว่า “เงินเฟ้อพื้นฐาน” (Core Inflation) ยังคงอยู่ราว 0.9% ใกล้กรอบล่างของเป้าหมาย ซึ่งสะท้อนว่า “ดีมานด์ในประเทศยังมีอยู่ และเศรษฐกิจยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืด”

เขากล่าวต่อว่า ธปท.กำลังติดตามความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด ซึ่งในแถลงการณ์ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ล่าสุดก็ได้ระบุเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก แต่ในมุมมองของ ธปท. ยังไม่พบสัญญาณของเงินฝืดในเชิงเศรษฐศาสตร์ “เงินฝืดในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึงระดับราคาสินค้าและบริการที่ลดลงในวงกว้างและต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากอุปสงค์ในระบบที่อ่อนแรงลงอย่างชัดเจน ขณะที่ตอนนี้เรายังเห็นแรงขับเคลื่อนจากดีมานด์อยู่”

นายวิทัยย้ำว่า ธปท. จะยังคงใช้เครื่องมือนโยบายการเงินอย่างยืดหยุ่น โดยพร้อมผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมหากมีความจำเป็น เพื่อพยุงเศรษฐกิจและดูแลให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการเติบโต “ถ้ามีความจำเป็น เราพร้อมผ่อนคลายเพิ่มเติม ทั้งเพื่อประคองเศรษฐกิจและเพื่อดูแลเงินเฟ้อให้กลับมาอยู่ในกรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง” เขากล่าว พร้อมระบุว่า แม้ภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบันจะอยู่ต่ำกว่ากรอบ แต่ยังไม่ใช่สัญญาณที่น่ากังวล “ในภาพรวมเรายังเชื่อมั่นว่าในระยะปานกลาง เงินเฟ้อไทยจะกลับเข้าสู่กรอบ 1-3% ได้แน่นอน”

สำหรับทิศทางเงินเฟ้อและกรอบเป้าหมายในช่วงต่อไป นายวิทัยว่า ขณะนี้ ธปท.อยู่ระหว่างหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณากำหนด “เป้าหมายทางการเงิน” หรือกรอบเงินเฟ้อใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการปกติที่จะต้องดำเนินการทุกปี โดยจะส่งเป้าหมายดังกล่าวภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ เขาระบุว่า กรอบเงินเฟ้อ 1-3% ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังถือว่าเหมาะสมในบริบทของเศรษฐกิจไทย “ในเบื้องต้นเรายังเชื่อว่ากรอบเดิมเพียงพอ เพราะเป็นกรอบที่ตั้งไว้ในระยะปานกลาง ซึ่งสะท้อนความยืดหยุ่นต่อความผันผวนระยะสั้นของเศรษฐกิจ”

ธปท.จับตาเงินบาทแข็ง-เงินทุนไหลเข้า เร่งเชื่อมข้อมูลหน่วยงานคุมเสถียรภาพค่าเงิน

สำหรับเรื่องการดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก่อนหน้านี้ นายวิทัย กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทในปีนี้แข็งค่าขึ้นประมาณ 4.5% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค โดยขณะนี้หลายประเทศในอาเซียน เช่น ไต้หวันและมาเลเซีย มีการแข็งค่ามากกว่าไทยแล้ว การเคลื่อนไหวของค่าเงินเป็นผลจากหลายปัจจัย ทั้งทิศทางของดอลลาร์สหรัฐและกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในตลาดโลก ซึ่งธปท.ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานด้านการกำกับต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้เห็นภาพรวมของเงินทุนเข้าออก โดยเฉพาะกระแสเงินที่อาจมีลักษณะผิดปกติหรือส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

ปัจจุบัน ธปท.ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อ “เชื่อมต่อจุดข้อมูล” (Connect the Dot) และหาต้นตอของกระแสเงินที่เข้ามาในระบบ เนื่องจากบางธุรกรรมไม่ได้อยู่ในระบบรายงานตามปกติ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในการตรวจสอบ ธปท.ไม่ได้มองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของเงินทุนโดยลำพัง แต่สามารถประสานข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่นได้ ทั้งนี้ รัฐบาลและกระทรวงการคลังได้เข้ามาเป็นเจ้าภาพหลักในการผลักดันกลไกตรวจสอบดังกล่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามเงินทุนเคลื่อนไหวที่อาจส่งผลต่อค่าเงินบาท

ในภาพรวม ธปท.ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะเข้าดูแลเมื่อจำเป็น หากพบการเคลื่อนไหวของเงินทุนที่อาจสร้างความผันผวนหรือไม่เป็นไปตามกลไกตลาด ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในแต่ละช่วงเวลาได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยที่มีน้ำหนักแตกต่างกัน เช่น ดุลการชำระเงิน กระแสเงินทุนระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงของทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ ซึ่งไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเหตุใดจึงเป็นแรงขับหลักในแต่ละช่วง แต่ธปท.จะติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพโดยรวมของระบบเศรษฐกิจ

ในส่วนของการซื้อขายทองคำที่อาจส่งผลต่อค่าเงิน นายวิทัยระบุว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำมีผลต่อค่าเงินบาทในลักษณะ “ขยายแรง” หรือ Amplify โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันในประเทศไทยซึ่งใช้เงินบาทเป็นหลัก เมื่อราคาทองคำปรับสูงขึ้น ผู้ขายทองมักจะต้องทำธุรกรรมขายดอลลาร์เพื่อซื้อเงินบาทกลับเข้ามา ทำให้เกิดแรงซื้อเงินบาทเพิ่มขึ้นและส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอีกระดับ ธปท.อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลังและผู้ประกอบการในภาคทองคำ เพื่อประเมินว่าควรมีมาตรการใดหรือไม่ในการลดแรงกระทบต่อค่าเงินบาท

ประเด็นที่พิจารณาอยู่ในขณะนี้คือการปรับระบบซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันให้สามารถเทรดเป็นดอลลาร์สหรัฐแทนเงินบาท ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทโดยตรง ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทองคำจริงในร้านทองหรือของรายย่อย เนื่องจากธุรกรรมเหล่านั้นไม่ได้มีผลโดยตรงต่อค่าเงิน ธปท.จะดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อให้การกำกับดูแลไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาด และยังคงรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย

ธปท.ปั้น “Social AMC” ผ่าน SAM เร่งสางหนี้รายย่อย 3 ล้านบัญชี

สำหรับนโยบายทางการเงินเฉพาะจุด นายวิทัย เปิดเผยว่า ธปท.กำลังเร่งผลักดันโครงการจัดตั้ง AMC รูปแบบใหม่ เพื่อแก้ปัญหาหนี้เสียรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งมีอยู่กว่า 3 ล้านบัญชีในระบบ ทั้งจากธนาคารพาณิชย์ นอนแบงก์ นอนแบงก์ภายใต้การดูแลของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินของรัฐ โดยแนวทางปัจจุบันมุ่งให้บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) เข้ามารับบทเป็น “Social AMC” เพื่อดำเนินภารกิจช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยอย่างเป็นระบบ แทนแนวคิดการจัดตั้ง “National AMC” ที่เคยถูกหารือก่อนหน้า

นายวิทัยระบุว่า แนวทางเบื้องต้นคือให้บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) เข้ามารับบทนำและถูกปรับบทบาทเป็น “Social AMC” เพื่อทำภารกิจช่วยเหลือประชาชนโดยตรง โดยจะเป็นการโอนหนี้เสียจากสถาบันการเงินในราคาทุน ก่อนปรับโครงสร้างหนี้ให้มีเงื่อนไขผ่อนปรนสูงสุด เพื่อให้ลูกหนี้สามารถกลับมาชำระและปลดหนี้ได้เร็วขึ้น โครงการนี้จะมุ่งช่วยกลุ่มที่เป็นหนี้เสียในอดีต ไม่ใช่กลุ่มที่อาจกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต เพื่อป้องกันการบั่นทอนวินัยทางการเงิน

เขาเปิดเผยว่า การหารือขณะนี้ไม่เน้นจัดตั้ง “National AMC” ตามแนวคิดเดิม แต่จะใช้โครงสร้างเดิมของ SAM และ BAM (บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์) เป็นฐาน โดย SAM จะทำหน้าที่ในเชิงสังคมภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วน BAM ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงดำเนินงานตามพันธกิจเชิงพาณิชย์ต่อไป แนวทางดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูง และคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการได้ตั้งแต่ต้นปีหน้า

โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารพาณิชย์ สมาคมธนาคารไทย (TBA) และกองทุนฟื้นฟูฯ โดยจะนำเงินคงเหลือราว 26,000 ล้านบาท จากกองทุนฟื้นฟูฯ มาใช้ดำเนินการต่อ หลังจากที่มีการปรับลดอัตรานำส่งของสถาบันการเงินชั่วคราวจาก 0.46% เหลือ 0.23% ซึ่งทำให้กองทุนมีเงินสนับสนุนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประมาณ 39,000 ล้านบาทต่อปี ตลอดสองเฟสที่ผ่านมา เงินส่วนที่เหลือนี้สามารถนำมาใช้ในการซื้อหนี้และช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแก้กฎหมายเพิ่มเติม

“เงินก้อนนี้เป็นเงินที่ธนาคารพาณิชย์ร่วมใจกันตั้งไว้เพื่อช่วยประชาชน และยังคงเหลืออยู่ในระบบ สามารถนำมาใช้ต่อได้ทันที” ผู้ว่าการกล่าว พร้อมขอบคุณธนาคารพาณิชย์ที่ให้ความร่วมมืออย่างจริงจังในโครงการนี้

นายวิทัยคาดว่า หากโครงการเดินหน้าได้ตามแผน จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยได้กว่า 2 ล้านคนในระยะแรก โดยจะทยอยเริ่มจากกลุ่มที่สามารถโอนได้รวดเร็วที่สุด เช่น หนี้เสียจากธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ที่อยู่ภายใต้ธนาคารพาณิชย์ ก่อนขยายไปยังหนี้ของธนาคารรัฐ และนอนแบงก์แบบสแตนด์อโลนในเฟสถัดไป

ในส่วนของ “วินัยทางการเงิน” ผู้ว่าการย้ำว่า โครงการนี้ไม่ใช่มาตรการใช้จ่ายทางการคลัง จึงไม่กระทบวินัยการคลังของรัฐบาล ทั้งยังมีการออกแบบเพื่อป้องกันการเสียวินัยทางการเงินของลูกหนี้ โดยให้สิทธิเฉพาะผู้ที่เป็น NPL ในอดีต ไม่ใช่ลูกหนี้ปกติในปัจจุบัน “ทุกเรื่องที่ทำ เราประเมินความเสี่ยงสองด้านเสมอ ถ้าเชื่อว่าผลบวกต่อระบบมีมากกว่าผลลบ และบริหารความเสี่ยงได้ ก็ต้องกล้าทำ เพื่อให้เกิดผลช่วยเหลือจริง”

นายวิทัยยังกล่าวถึงนโยบายเสริมเพื่อเข้าถึงประชาชนในวงกว้างมากขึ้น เช่น การผลักดันโครงการด้านประกันภัยและการเพิ่มสภาพคล่องให้ SME รวมถึงการขยายโอกาสทางการเงิน (financial inclusion) สำหรับประชาชนที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อ โดยจะพัฒนาเครื่องมือเฉพาะจุดหลายโครงการควบคู่กันไป “มาตรการเฉพาะจุดเหล่านี้จะเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อกัน เพื่อให้เกิดผลจริงต่อประชาชน เพราะไม่มีมาตรการใดที่กดปุ่มแล้วจบ ต้องทำต่อเนื่องและร่วมกันหลายหน่วยงาน”

สำหรับการพัฒนาระบบเครดิตสกอร์ ผู้ว่าการกล่าวว่า ธปท.ให้ความสำคัญต่อการยกระดับข้อมูลเครดิต เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถประเมินความเสี่ยงของลูกหนี้ได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพอิสระและแรงงานนอกระบบ เช่น พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ที่ไม่มีบัญชีเงินเดือนหรือหลักฐานรายได้ชัดเจน “ถ้ามีฐานข้อมูลจากโครงการ Your Data และสกอร์จากหลายแหล่งมาช่วยเสริม จะทำให้เห็นศักยภาพการชำระหนี้ของแต่ละคนได้จริง และเปิดโอกาสให้เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น”

นายวิทัยกล่าวว่า ธปท.ไม่ได้ตั้งเป้าตัวเลขหนี้ครัวเรือนให้เหลือเท่าใด แต่จะมุ่งลดลงอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนในระยะยาว เพราะการลดเร็วเกินไปอาจสะท้อนปัญหาทางเศรษฐกิจ “การแก้หนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องโครงสร้าง ต้องใช้เวลาและต้องต่อจิ๊กซอว์จากหลายหน่วยงาน ทั้งแบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง และภาคเอกชน เพื่อให้ประชาชนกลับมามีศักยภาพทางการเงินได้จริง”

วิทัยชี้ตั้งกองทุนมั่งคั่งไม่ช่วยบาทอ่อน ชัดยังไม่มีแนวคิดดำเนินการ

นอกจากนี้ นายวิทัย ยังกล่าวถึงแนวคิดการจัดตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) ว่าก่อนจะพูดถึงเรื่องนี้ ต้องเข้าใจพื้นฐานของ “เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ” (Foreign Reserve) เสียก่อน เพราะโดยหลักแล้ว เงินทุนสำรองคือสินทรัพย์ที่ใช้รองรับค่าเงินและธนบัตรไทย ซึ่งต้องอยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ทองคำ หรือสินทรัพย์สกุลเงินอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน

นายวิทัยชี้ว่า “เงินทุนสำรอง” เหล่านี้มีหน้าที่หลักในการ “Back” ธนบัตร จึงไม่สามารถนำมาใช้ตั้งกองทุนมั่งคั่งเพื่อบริหารใหม่ได้โดยไม่กระทบต่อกลไกหลักของระบบการเงิน หากจะใช้เงินส่วนนี้ไปจัดตั้งกองทุน Sovereign Fund ก็ไม่ได้ช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนลง เพราะเงินในทุนสำรองเป็นสกุลต่างประเทศอยู่แล้ว การโยกย้ายเพียงเปลี่ยนบัญชีจากทุนสำรองมาอยู่ในกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติจึง “ไม่มีผลต่อค่าเงิน” เว้นแต่จะมีการใช้เงินบาทตั้งต้นใหม่ไปซื้อดอลลาร์เพื่อบริหารอีกที ซึ่งไม่ใช่กรณีนี้ และประเทศไทยก็ไม่มีเงินบาทก้อนดังกล่าวอยู่ในระบบขณะนี้

นายวิทัยยืนยันว่า “ขณะนี้ยังไม่มีแนวคิดจะจัดตั้ง Sovereign Wealth Fund” ทั้งนี้ หากมีผู้เสนอแนวทางที่เหมาะสม ธปท. ก็พร้อมจะพิจารณา แต่ในเวลานี้ยังไม่มีแนวคิดดังกล่าวอยู่ในแผนงาน เขาเสริมว่าการบริหารเงินทุนสำรองของ ธปท. ในปัจจุบันถือว่ามีความซับซ้อนและมีมาตรฐานระดับสากลอยู่แล้ว โดยมีการลงทุนกระจายทั้งทองคำ สกุลเงินต่างประเทศที่ไม่จำกัดอยู่แค่ดอลลาร์ และแม้แต่หุ้นในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้การบริหารพอร์ตมีความยั่งยืนและสมดุล

เมื่อถูกถามว่าการแยกเงินออกมาตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติจะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่ เขากล่าวว่า “ยังนึกไม่ออกว่าจะได้ประโยชน์อย่างไร” เพราะเป้าหมายของกองทุนดังกล่าวตามที่เสนอในบางแนวคิดคือ “เพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง” ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักเศรษฐศาสตร์การเงิน

ส่วนแนวคิดที่เสนอให้ตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติขึ้นเพื่อใช้ลงทุนสร้างรายได้กลับคืนสู่ประเทศ นายวิทัยตอบว่า เงินทุนสำรองในปัจจุบันก็ถูกนำไปลงทุนอยู่แล้วผ่านระบบบริหารทุนสำรองของ ธปท. โดยนายวิทัยทิ้งท้ายว่า “ต้องถามก่อนว่าอยากตั้งกองทุนนี้เพราะอะไร ถ้าเพื่อต้องการให้บาทอ่อน คำตอบคือไม่ใช่แน่นอน”




แชร์
ผู้ว่า ธปท. มุ่งดูแลคนไทย ลุยแก้หนี้ ดัน SMEs เข้าถึงทุน ยันเงินไม่ฝืด