การทำสงครามระหว่งอิสราเอลและฮามาส นับเป็นการทำสงครามของอิสราเอลต่อปาเลสไตน์ที่ยาวนานที่สุด นับตั้งแต่ปี 1948 โดยย้อนกลับไปเมื่อเวลา 6.29 น. ของเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ตามเวลาท้องถิ่น กลุ่มติดอาวุธฮามาส ซึ่งครอบครองดูแลพื้นที่ฉนวนกาซามาตั้งแต่ปี 2007 เปิดปฏิบัติการรุกเข้าไปในดินแดนของอิสราเอล พร้อมทั้งยิงจรวดเข้าโจมตี เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,189 ราย และประชาชนอีก 251 คนถูกลักพาตัวจากฝั่งอิสราเอลเข้าไปยังกาซา หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลประกาศทำสงครามทันที
ตั้งแต่ 2023 - ปี 2025 อิสราเอลโจมตีกาซาหนักอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตัวประกันก็ยังคงถูกกลุ่มฮามาสจับเอาไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนก็เปิดฉากโจมตีอิสราเอลจากชายแดนทางตอนใต้ของเลบานอน ซึ่งติดกับทางตอนเหนือของอิสราเอล ขณะที่กลุ่มกบฏฮูธีในเยเมน ก็ก่อปฏิบัติการเช่นกันเพื่อตอบโต้อิสราเอลแทนปาเลสไตน์ โดยทั้งฮิซบอลเลาะห์และฮูธีล้วนได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน พี่ใหญ่ในภูมิภาค จนทำให้วิกฤตครั้งนี้ลุกลามไปทั่วทั้งตะวันออกกลางก็ว่าได้
แต่สงครามที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับกาซา ขณะเดียวกัน อิสราเอลก็สูญเสียหลายโอกาส โดยเฉพาะ โอกาสทางเศรษฐกิจ Spotlight รวบรวมให้ว่า การปิดฉากสงครามครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสูญเสียอะไรบ้าง
รายงานระบุว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกาซา ประการแรกคือ จำนวนผู้เสียชีวิตจากการทำสงครามของอิสราเอลทะลุ 67,000 ราย ในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 20,000 คนเป็นเด็ก ซึ่งคิดเป็นประมาณ ร้อยละ 2 ของประชากรเด็กในกาซา
ขณะที่ครอบครัวต่าง ๆ กระจัดกระจาย บางครอบครัวเหลือคนรอดแค่เพียงหนึ่งคน ส่วนผู้บาดเจ็บมีเกือบ 170,000 คน ดังนั้นเมื่อรวมทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตแล้ว คิดเป็นมากถึงราว 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในกาซา ซึ่งก่อนหน้าจะเกิดสงครามมีอยู่ที่ประมาณ 2.3 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ยังอาจจะมีผู้เสียชีวิตอีกมากที่ถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือนในกาซา และยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคร้าย ภาวะขาดแคลนอาหาร การตัดสินใจฆ่าตัวตาย การขาดแคลนที่อยู่อาศัยและยา การเกิดอุบัติเหตุ การระบาดของโรคติดเชื้ออย่างรวดเร็ว และการล่มสลายของระบบสาธารณสุข ทั้งนี้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ The Lancet ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของชาวกาซาอาจลดลงถึงครึ่งหนึ่งภายในปีแรกของความขัดแย้งนี้
อิสราเอลถูกกล่าวหาว่า สร้างความอดอยากอย่างกว้างขวางในฉนวนกาซา ผ่านการทหารที่ปิดกั้นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมานานหลายเดือน และระบบแจกจ่ายอาหารที่มีรายงานว่า ทำให้มีชาวกาซาจำนวนมากถูกยิงเกือบทุกวันในขณะพยายามรับอาหาร
ยังมีรายงานว่า ประชาชนในกาซาอย่างน้อย 459 คน รวมถึงเด็ก 154 คน เสียชีวิตจากความอดอยากโดยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา องค์กร Integrated Food Security Phase Classification (IPC) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติและทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก ได้ยืนยันว่า เกิดภาวะทุพภิกขภัย (famine) ในฉนวนกาซา ซึ่งนับเป็น ครั้งแรกที่มีการประกาศรับรองภาวะอดอยากอย่างเป็นทางการในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ ตามรายงานของสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยการประสานงานด้านมนุษยธรรม (OCHA) เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาระบุว่า อาคารที่พักอาศัยร้อยละ 92 และ สิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ร้อยละ 88 ในฉนวนกาซาได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย
ย่านที่อยู่อาศัยทั้งย่านถูกลบหายไปจากแผนที่ ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนต้องพลัดถิ่นและไร้ที่พักอาศัย
ตามการประเมินของ ธนาคารโลก (World Bank) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ความเสียหายทางกายภาพโดยตรงจากการทิ้งระเบิดของอิสราเอลในฉนวนกาซา มีมูลค่าสูงถึง 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมถึง การถูกทำลายของบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะทั่วทั้งฉนวนกาซา
ค่าใช้จ่ายของปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลนั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างแน่ชัด แต่เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารแห่งอิสราเอลประเมินว่า ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับสงครามโดยตรงระหว่างปี 2023 - 2025 อาจสูงถึง 55,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นราว 10 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือจีดีพีของประเทศเลยทีเดียว
สถานการณ์การทำสงครามส่งผลกระทบต่อการเงินของประเทศ โดยงบประมาณขาดดุลคิดเป็นถึง 6.8 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นตัวเลขสูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 ขณะที่อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศขยับมาจาก 60 เปอร์เซ็นต์ก่อนเกิดสงคาม เป็นเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว
เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านั้น รัฐบาลได้เสนอมาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งรวมถึงการตัดงบประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์จากทุกกระรวง และเพิ่มภาษี VAT จาก 17 เปอร์เซ็นต์เป็น 18 เปอร์เซ็นต์ในช่วงต้นปี 2025
ส่วนภาคการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของอิสราเอลได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสงคราม ก่อนเกิดความขัดแย้ง ประเทศกำลังมุ่งหน้าสู่ทำสถิติสูงสุดด้วยนักท่องเที่ยวกว่า 5.5 ล้านคนในปี 2023 แต่แผนดังกล่าวต้องพังทลายลงในชั่วข้ามคืน โดยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงราว 80% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยังคงซบเซาเช่นเดียวกันตลอดปี 2024 แม้ในปี 2025 จะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว แต่การแลกเปลี่ยนการยิงขีปนาวุธระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านในเดือนมิถุนายน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดฮวบอีกครั้ง