ในช่วงที่สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันเชิงเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงกับจีน วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้เดินหน้าออกมาตรการเชิงรุกด้วยการผ่านร่างกฎหมายสำคัญสองฉบับซึ่งมุ่งจำกัดความสัมพันธ์ทางเทคโนโลยีและความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ กับจีน การผ่านร่างครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้กรอบของ พระราชบัญญัติอนุมัติงบประมาณกลาโหมแห่งชาติ (National Defense Authorization Act: NDAA) ซึ่งเป็นกฎหมายประจำปีว่าด้วยนโยบายกลาโหมที่รวมงบประมาณกว่า 8.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปีงบประมาณใหม่ของกองทัพ
ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับ ได้แก่ “Foreign Investment Guardrails to Help Thwart (FIGHT) China Act of 2025” ของวุฒิสมาชิกรีพับลิกัน จอห์น คอร์นิน (John Cornyn) จากรัฐเท็กซัส และ “Bio-Secure Act” ของวุฒิสมาชิกรีพับลิกัน บิล แฮกเกอร์ตี (Bill Hagerty) จากรัฐเทนเนสซี ได้รับการสนับสนุนร่วมกันจากทั้งสองพรรคและผ่านวุฒิสภาในคืนวันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม ตามเวลาสหรัฐฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของสภาคองเกรสในการเสริมมาตรการป้องกันการรั่วไหลของเทคโนโลยีชั้นสูงและเงินทุนจากสหรัฐฯ ไปยังภาคธุรกิจจีนที่อาจเกี่ยวพันกับกองทัพ
การผ่านร่างดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของ “การแยกตัวทางเทคโนโลยี” (Technology Decoupling) ที่ลึกขึ้นระหว่างสองประเทศ และในช่วงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะ “Government Shutdown” อันเกิดจากการขัดแย้งด้านงบประมาณ การเดินหน้าผ่านร่างเหล่านี้จึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณของฉันทามติใหม่ในสภาคองเกรส ที่เห็นพ้องว่าจีนคือภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์อันดับหนึ่งต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในศตวรรษที่ 21
ร่างกฎหมาย “FIGHT China Act of 2025” หรือชื่อเต็มว่า Foreign Investment Guardrails to Help Thwart China Act เป็นข้อเสนอของวุฒิสมาชิก จอห์น คอร์นิน (John Cornyn) จากรัฐเทกซัส พรรครีพับลิกัน ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไก “คุ้มกันการลงทุน” ของสหรัฐฯ ป้องกันไม่ให้เงินทุน เทคโนโลยี หรือความเชี่ยวชาญจากภาคเอกชนอเมริกัน ถูกนำไปใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับการทหาร เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบควอนตัมคอมพิวติ้ง อาวุธความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic Weapons) และซูเปอร์คอมพิวเตอร์
ในถ้อยแถลงต่อที่ประชุมวุฒิสภา คอร์นินระบุว่า “นี่เป็นร่างกฎหมายเพื่อความโปร่งใส ที่จะเปิดเผยให้เห็นว่าทุนของสหรัฐฯ ไหลเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนมากเพียงใด และถูกเปลี่ยนเป็นศักยภาพทางทหารของคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์ของเราด้วยวิธีใด” และกล่าวว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นหนึ่งในแหล่งเงินลงทุนต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับยุทธศาสตร์ “การผสานอุตสาหกรรมพลเรือนและทหาร” (Military-Civil Fusion) ของรัฐบาลปักกิ่ง ดังนั้นการลงทุนของเอกชนสหรัฐฯ ในภาคเหล่านี้จึงอาจถือเป็นการสนับสนุนโดยตรงต่อกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA)
ในด้านรายละเอียด ร่างกฎหมายนี้ให้อำนาจแก่หน่วยงานของรัฐบาลกลาง เช่น กระทรวงการคลังสหรัฐฯ (U.S. Department of the Treasury) ในการสกัดกั้นหรือบล็อกธุรกรรมที่อาจส่งต่อเงินทุน เทคโนโลยี หรือองค์ความรู้ของสหรัฐฯ ไปยังบริษัทจีนในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสำคัญ ธุรกรรมที่อยู่ในขอบเขตนี้รวมถึงการเข้าซื้อกิจการ การร่วมทุน (Joint Ventures) การให้กู้ยืมหรือจัดหาเงินทุน การแปลงหนี้เป็นทุน การถือหุ้นในฐานะผู้ร่วมลงทุนจำกัด และการทำธุรกรรมใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีสำคัญให้แก่สถาบันของรัฐจีนหรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของจีนโดยตรง
ในทางกลับกัน ร่างกฎหมายยังกำหนดข้อยกเว้นบางประการ เช่น ธุรกรรมที่มีมูลค่าน้อย (De minimis Transactions) ธุรกรรมที่อยู่ในประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ หรือการลงทุนผ่านกองทุนรวม กองทุนเอกชน และธุรกรรมปกติของสถาบันการเงินที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้ ผู้ลงทุนชาวอเมริกันจะต้องแจ้งกระทรวงการคลังภายใน 14 วันหากมีการลงทุนในจีนในเทคโนโลยีที่ไม่อยู่ในบัญชีห้าม แต่มีลักษณะอ่อนไหว เช่น ระบบ AI ที่อาจถูกใช้ในด้านการทหาร การสอดแนม ความมั่นคงทางไซเบอร์ การเจาะระบบ หรือการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์
ร่างกฎหมายนี้ยังมีข้อกำหนดให้รัฐบาลจัดทำรายงานต่อสภาคองเกรสเป็นประจำ โดยต้องเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณและประเภทของการลงทุนของสหรัฐฯ ในภาคเทคโนโลยีจีน เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถติดตามการไหลของทุนได้อย่างต่อเนื่องและประเมินผลกระทบทางความมั่นคงอย่างเป็นระบบ
คอร์นินกล่าวเสริมว่า “เราต้องรู้ว่าเงินของเรากำลังไปที่ไหน และมันถูกใช้เพื่อเสริมศักยภาพของใคร” พร้อมยืนยันว่าร่างนี้ไม่ใช่มาตรการกีดกันการค้าเสรี แต่เป็นมาตรการเชิงป้องกัน เพื่อให้สหรัฐฯ มีเครื่องมือควบคุมการลงทุนขาออกอย่างมีประสิทธิภาพในยุคที่เทคโนโลยีขั้นสูงกลายเป็นสนามแข่งขันหลักของอำนาจระหว่างประเทศ
ร่าง “FIGHT China Act” ยังได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากทั้งสองพรรคในวุฒิสภา ไม่ว่าจะเป็นแคทเธอรีน คอร์เทซ มาสโต (Catherine Cortez Masto), จิม แบงส์ (Jim Banks), พีท ริเกตส์ (Pete Ricketts), ไมเคิล เบนเน็ต (Michael Bennet), บิล แฮกเกอร์ตี้ (Bill Hagerty), แอนดี คิม (Andy Kim), เดฟ แม็คคอร์มิก (Dave McCormick), ชัค ชูเมอร์ (Chuck Schumer), แดน ซัลลิแวน (Dan Sullivan) รวมถึงเอลิซาเบธ วอร์เรน (Elizabeth Warren) ซึ่งกล่าวสนับสนุนอย่างหนักแน่นว่า “เราควรเป็นฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีอ่อนไหวที่สุดในประเทศของเราเอง แทนที่จะปล่อยให้ทุนของเราช่วยเสริมศักยภาพประเทศที่ไม่แบ่งปันค่านิยมเดียวกัน”
การเสนอร่าง “FIGHT China Act” จึงสะท้อนถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในวอชิงตัน ที่มองว่า “เศรษฐกิจคือความมั่นคงแห่งชาติ” (Economic Security is National Security) แนวคิด “ร่วมมือทางเศรษฐกิจแม้แข่งขันเชิงยุทธศาสตร์” ที่เคยครอบงำในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กำลังถูกแทนที่ด้วยแนวโน้ม “การแยกขาดทางเศรษฐกิจแบบเลือกสรร” (Selective Decoupling) โดยเฉพาะในปี 2568 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ แสดงความตั้งใจอย่างชัดเจนในการปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของจีนและจำกัดช่องทางที่ทุนอเมริกันจะไหลไปสนับสนุนโครงการของจีน
ร่างกฎหมายนี้ยังสอดคล้องกับ “America First Investment Policy” ภายใต้บันทึกนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Presidential Memorandum) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกร้องให้มีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นในการจำกัดการลงทุนของบริษัทสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมจีน โดยเฉพาะภาคที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ “การหลอมรวมระหว่างภาคพลเรือนและการทหาร” ของจีน (Military-Civil Fusion Strategy) บันทึกดังกล่าวยังเน้นย้ำการปรับบทบาทของคณะกรรมการ CFIUS (Committee on Foreign Investment in the United States) ให้มีอำนาจจำกัดการลงทุนจาก “ศัตรูต่างชาติ” โดยเฉพาะจีนอย่างเฉพาะเจาะจง
ยิ่งไปกว่านั้น ในเดือนมกราคม 2568 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้กฎ “Outbound Investment Rule” ซึ่งเป็นกฎถาวรจำกัดการลงทุนของบุคคลหรือนิติบุคคลสัญชาติสหรัฐฯ ในจีนในภาคเทคโนโลยีสำคัญ เช่น AI ควอนตัมคอมพิวติ้ง และเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เพื่อป้องกันไม่ให้เงินทุนของสหรัฐฯ สนับสนุนการพัฒนาอาวุธ การสอดแนม หรือกิจกรรมด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ของจีน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ในภาพรวม ร่าง “FIGHT China Act” เป็นสัญญาณของการจัดระเบียบใหม่ของระบบการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งบริษัทข้ามชาติจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นในการดำเนินธุรกิจหรือการลงทุนในจีน
ทิศทางทางกฎหมายเหล่านี้กำลังเปลี่ยนจาก “การจำกัดการลงทุนในบางอุตสาหกรรมเทคโนโลยี” ไปสู่ “การห้ามการลงทุนโดยตรงในเทคโนโลยีเฉพาะเจาะจง” ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในภูมิทัศน์การลงทุนระหว่างสหรัฐฯ-จีนในอนาคตอันใกล้ และเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่สหรัฐฯ ใช้ควบคุมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในยุคการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
ในอีกด้านหนึ่ง ร่าง “Bio-Secure Act” ของวุฒิสมาชิก บิล แฮกเกอร์ตี จากรัฐเทนเนสซี มุ่งคุ้มครองความมั่นคงทางชีวภาพของประเทศ โดยห้ามไม่ให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ทำสัญญา จัดซื้อ หรือใช้บริการจาก “บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่น่ากังวล” (Biotech Companies of Concern) ซึ่งมีความเชื่อมโยงหรืออยู่ภายใต้การควบคุมของ พรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party: CCP)
แฮกเกอร์ตีกล่าวในวุฒิสภาวันพฤหัสบดีว่า “ร่าง Bio-Secure Act จะหยุดไม่ให้เงินภาษีของชาวอเมริกันไหลไปยังบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่เป็นเครื่องมือของ CCP ซึ่งกำลังรวบรวมและวิเคราะห์ DNA ของผู้คนนับล้านทั่วโลก” พร้อมเน้นว่า “มันจะรับประกันได้ว่ารัฐบาลกลางจะไม่สามารถซื้อ ทำสัญญา หรืออุดหนุนบริษัทที่มีความเสี่ยงต่อการเปิดเผย DNA ของชาวอเมริกันและความมั่นคงของประเทศได้อีกต่อไป”
ภายใต้การแก้ไขของแฮกเกอร์ตี รัฐบาลกลางจะถูกห้ามทำสัญญา มอบทุน หรือให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทที่มีส่วนเชื่อมโยงกับกองทัพจีนและดำเนินกิจการด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับ ข้อมูลพันธุกรรม การจัดลำดับจีโนม (Genomics) และการวิเคราะห์ DNA
ร่างนี้เปิดโอกาสให้หน่วยงานอย่างกระทรวงกลาโหม (DoD) กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) และกระทรวงสาธารณสุข (HHS) จัดทำ “รายชื่อบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของความกังวล” เพื่อใช้เป็นบัญชีดำในการกำหนดข้อจำกัดด้านสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
แฮกเกอร์ตีกล่าวต่อว่า “จีนคอมมิวนิสต์ได้ประกาศอย่างเปิดเผยว่าเทคโนโลยีชีวภาพคือหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของสงครามอนาคต” พร้อมยกตัวอย่างเอกสารปี 2560 จากมหาวิทยาลัยกลาโหมแห่งชาติจีน (National Defense University of the People’s Liberation Army) ซึ่งพูดถึง “การโจมตีทางพันธุกรรมเฉพาะกลุ่มเชื้อชาติ (Specific Ethnic Genetic Attacks)” ที่สามารถ “มุ่งเป้าทำลายล้างเชื้อชาติ กลุ่มคน หรือแม้แต่บุคคลเฉพาะรายได้อย่างแม่นยำ” เขากล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง”
วุฒิสมาชิกระบุเพิ่มเติมว่า ร่างกฎหมายนี้เป็นความพยายามของสภาคองเกรสในการตอบสนองต่อภัยคุกคามทางชีวภาพที่ซับซ้อนและไม่จำกัดอยู่ในมิติการทหารเท่านั้น แต่รวมถึงมิติของข้อมูลและการควบคุมทางเศรษฐกิจด้วย “DNA ของชาวอเมริกันคือสมบัติของชาติ” เขากล่าว “เรามีหน้าที่ปกป้องไม่ให้มันถูกนำไปใช้ในลักษณะที่อาจคุกคามสุขภาพและความปลอดภัยของพลเมืองของเราเอง”
การอนุมัติร่าง National Defense Authorization Act (NDAA) ในคืนวันพฤหัสบดีถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากหลายสัปดาห์ของการหยุดชะงักทางการเมืองเกี่ยวกับงบประมาณกลาโหมมูลค่า 8.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ การผ่านร่างในช่วงที่รัฐบาลยังอยู่ในภาวะ “Government Shutdown” ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยในประวัติศาสตร์ โดยสะท้อนถึงความเร่งด่วนของประเด็นด้านความมั่นคงและความตั้งใจของทั้งสองพรรคที่จะเดินหน้าประกาศกรอบยุทธศาสตร์ใหม่ต่อจีน
ร่าง NDAA ฉบับปี 2568 ไม่เพียงเพิ่มงบประมาณกองทัพ แต่ยังรวมบทบัญญัติเชิงนโยบายจำนวนมากที่มีผลต่อการจัดหาทรัพยากร การลงทุนเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และการกำหนดทิศทางความร่วมมือกับพันธมิตรในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ภายหลังการผ่านร่าง วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรจะเริ่มกระบวนการ “ไกล่เกลี่ย” (Reconciliation) เพื่อรวมร่างจากทั้งสองสภาให้เป็นฉบับเดียว ก่อนส่งให้ประธานาธิบดีลงนามเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้
การเห็นพ้องกันระหว่างสองพรรคในประเด็นนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของ “ฉันทามติด้านความมั่นคงใหม่ของสหรัฐฯ” ที่มุ่งจำกัดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทานและลดการถ่ายโอนเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนผ่านของสภาคองเกรสจากแนวคิดการค้าสากลแบบเสรีนิยม มาสู่แนวคิด “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” (Economic Security) ที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องทรัพยากรและข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ของชาติ