เรย์ ดาลิโอ (Ray Dalio) มหาเศรษฐีนักลงทุนผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ Bridgewater Associates มองว่าทองคำกำลังกลับมาทำหน้าที่เป็น “ที่หลบภัยของมูลค่า” หลักของโลกอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อ หนี้สาธารณะที่พุ่งสูง และความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มสั่นคลอน ดาลิโอกล่าวว่าการที่ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีนี้ สะท้อนบรรยากาศที่คล้ายกับช่วงทศวรรษ 1970 หรือ ยุคที่ทองคำปรับตัวขึ้นแรงท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก
ดาลิโอให้ความเห็นดังกล่าวระหว่างการสัมภาษณ์บนเวทีกับ ลิซา อับราโมวิทซ์ (Lisa Abramowicz) จาก Bloomberg ในงาน Greenwich Economic Forum ที่รัฐคอนเนตทิคัต หลังถูกถามถึงมุมมองต่อคำกล่าวของ เคน กริฟฟิน (Ken Griffin) จาก Citadel ที่มองว่าการพุ่งขึ้นของราคาทองคำสะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อค่าเงินดอลลาร์
ดาลิโอตอบว่า “ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้อย่างยอดเยี่ยม” และเสริมว่า “ถ้ามองในมุมของการจัดพอร์ตเชิงกลยุทธ์ สัดส่วนทองคำที่เหมาะสมอาจอยู่ราว 15% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด”
เรย์ ดาลิโอ ระบุว่าทองคำกำลังกลับมาทำหน้าที่เป็น “แหล่งเก็บมูลค่าที่มั่นคง” (store of value) อีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลทั่วโลกเผชิญภาระหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์รุนแรงขึ้น และความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของระบบการเงินเริ่มสั่นคลอน เขามองว่าการฟื้นตัวของทองคำรอบนี้สะท้อนภาพเดียวกับต้นทศวรรษ 1970 ยุคที่ทองคำพุ่งแรงควบคู่กับตลาดหุ้น หลังจากที่สหรัฐยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำ
นับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ราคาทองคำปรับขึ้นมากกว่า 20% แตะระดับราว 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การเพิ่มขึ้นของราคาทองในครั้งนี้ได้แรงหนุนจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งการที่รัฐบาลกลางสหรัฐต้องปิดทำการบางส่วน (Government Shutdown) และกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) จะยังเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยต่อ แม้อัตราเงินเฟ้อยังทรงตัวในระดับสูง
ขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลหลักทั้งหมดในปีนี้ จากแรงกดดันทางการเมืองภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลให้ดอลลาร์ร่วงแรงที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่สหรัฐยุติการผูกค่าเงินกับทองคำ
ดาลิโอกล่าวว่า ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ทองคำกลับมาโดดเด่นในฐานะสินทรัพย์ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ไม่ผูกติดกับหนี้หรืออัตราดอกเบี้ย “ทองคำสะท้อนคุณค่าที่แท้จริงในยามที่ความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินสั่นคลอน” เขากล่าว “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำมั่นของรัฐบาลหรือการตัดสินใจของธนาคารกลาง แต่เป็นสินทรัพย์ที่อยู่นอกเหนืออำนาจของนโยบายใดๆ”
แม้เรย์ ดาลิโอจะมองบวกต่อแนวโน้มของทองคำ แต่เขากลับแสดงความกังวลต่อการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) “สิ่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนภาวะฟองสบู่สำหรับผม” เขากล่าว พร้อมเปรียบเทียบการเก็งกำไรรอบปัจจุบันกับ “ยุคตื่นทองทางเทคโนโลยี” ในอดีต ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1920 ที่การจดสิทธิบัตรและนวัตกรรมใหม่ ๆ จุดกระแสการเก็งกำไร ไปจนถึงฟองสบู่ดอทคอมในปลายทศวรรษ 1990 ที่มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีพุ่งเกินจริงอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ดาลิโอย้ำว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธโอกาสจากเทคโนโลยี AI และมองว่านักลงทุนยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้จากสองทิศทาง ทั้งจากบริษัทที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และบริษัทที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีเพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต พร้อมเสริมว่า แม้จะมีความเสี่ยงจากมูลค่าที่สูงเกินจริง แต่บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ยังคงเป็นแกนหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก
สำหรับมุมมองการลงทุนระหว่างประเทศ ดาลิโอกล่าวว่าเขายังคง “ชอบจีน” แต่ได้เพิ่มน้ำหนักพอร์ตในสหรัฐฯ มากขึ้น “ผมคิดว่าทั้งสองประเทศมีทั้งข้อดีและความท้าทายของตัวเอง” เขากล่าว “จีนยังมีความน่าสนใจในแง่ของมูลค่าพื้นฐานที่ถูก แต่ในขณะเดียวกัน ปัญหาเงินทุนไหลออกและปัจจัยเชิงโครงสร้างก็ยังเป็นข้อจำกัดที่ต้องจับตา”
ในระยะที่ผ่านมา ท่าทีของดาลิโอสอดคล้องกับนักลงทุนทั่วโลกที่กำลังทยอยปรับพอร์ตจากสินทรัพย์เสี่ยงและสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์ ไปสู่สินทรัพย์ที่จับต้องได้และมีมูลค่าคงทน เช่น ทองคำ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความเชื่อว่าระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่งความผันผวนใหม่
ดาลิโอสรุปทิ้งท้ายว่า ทองคำในวันนี้ไม่ใช่แค่เครื่องมือเก็งกำไรระยะสั้น แต่คือ “หลักประกันของความมั่นคงทางการเงิน” ในยุคที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องปกติ และเป็นเครื่องเตือนใจให้นักลงทุนทั่วโลกไม่ลืมบทเรียนจากอดีต เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่จุดเปราะบางเช่นนี้อีกครั้ง