เด็กซนคือเด็กฉลาด ? เผย 3 อาการ ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม เด็กซนอาจไม่ใช่ตามประสาแต่คือเป็น
"โรคสมาธิสั้น"
เดือนตุลาคมของทุกปี นับเป็นช่วงเวลาแห่งการรณรงค์ สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะสมาธิสั้น หรือ ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) ซึ่งเป็นภาวะทางพัฒนาการที่พบได้บ่อยในเด็ก และอาจส่งผลต่อการเรียนรู้ พฤติกรรม ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตโดยรวม
หลายคนอาจเข้าใจว่าเด็กสมาธิสั้นคือเด็กที่ “ซน” หรือ “ดื้อ” เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ADHD เป็นภาวะทางสมองที่ส่งผลต่อการควบคุมตนเอง การมีสมาธิ และการยับยั้งพฤติกรรม โดยมีอาการที่สังเกตได้หลัก ๆ 3 ด้าน ดังนี้
เด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นมักมีพฤติกรรมที่ กระตือรือร้นเกินปกติ เช่น
• วิ่งหรือปีนป่ายอยู่ตลอดเวลา
• พูดมาก หยุดพูดยาก
• เคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตลอด เช่น กระดิกเท้า หรือขยับมือ
• ลุกจากที่นั่งบ่อย ทั้งที่ควรนั่งนิ่ง เช่น ในห้องเรียน
อาการนี้เห็นได้ชัดเจนในวัยเด็ก แต่เมื่อโตขึ้น ความซนอาจลดลง แต่อาการ กระวนกระวายหรืออยู่นิ่งไม่ได้ในใจ อาจยังคงอยู่
อาการนี้เป็นส่วนที่หลายคนมองข้าม เพราะเด็กดู “เงียบ” แต่จริง ๆ แล้วพวกเขากำลังมีปัญหากับการ จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น
• ฟังไม่จบ พลาดรายละเอียด
• ลืมง่าย ไม่ทำตามคำสั่งให้ครบ
• ไม่สามารถทำงานที่ต้องใช้ความตั้งใจได้นาน
• มักทำของหาย เช่น หนังสือ ดินสอ สมุดการบ้าน
อาการแบบนี้อาจทำให้เด็กถูกมองว่า “ไม่ตั้งใจ” หรือ “ขี้ลืม” ทั้งที่จริง ๆ เป็นเพราะสมองมีปัญหาในการจัดการกับความสนใจ
เด็กที่มีปัญหาในด้านนี้จะ ขาดความยับยั้งชั่งใจ เช่น
• พูดแทรก ตอบคำถามก่อนฟังจบ
• ขัดจังหวะผู้อื่นอยู่เสมอ
• แสดงพฤติกรรมโดยไม่คิดถึงผลลัพธ์ เช่น วิ่งตัดถนน เล่นรุนแรง
• เล่นกับเพื่อนไม่ได้เพราะไม่รู้จักรอ
พฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาในการเข้าสังคม และทำให้เด็กถูกมองว่า "ไม่มีมารยาท" หรือ "ควบคุมตัวเองไม่ได้"
ทั้งนี้ เด็กอาจมีอาการด้านใดด้านหนึ่ง หรืออาการครบทั้งสามด้าน อาการจะต้องเป็นก่อนอายุ 12 ปี เด็กต้องมีอาการใน 2 สถานการณ์ขึ้นไป เช่น เป็นทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน หรือในสังคมอื่นๆ
อาการที่เกิดขึ้นจะต้องส่งผลกระทบต่อตัวเด็ก เช่น ส่งกระทบต่อการเรียน เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือคนในครอบครัว เป็นต้น
สิ่งสำคัญคือ ADHD ไม่ใช่ความผิดของเด็ก หรือของพ่อแม่ และไม่ใช่แค่ “นิสัย” ที่จะแก้ได้ด้วยการดุหรือลงโทษ หากไม่ได้รับการเข้าใจหรือดูแลที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบยาวนาน ทั้งในด้านการเรียน ความมั่นใจในตนเอง และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
• สังเกตพฤติกรรม อย่างต่อเนื่อง หากสงสัย ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก
• ปรับสภาพแวดล้อม ให้เหมาะสม เช่น ลดสิ่งรบกวน มีตารางกิจวัตชัดเจน
• เสริมพฤติกรรมบวก ด้วยการให้คำชมเมื่อเด็กทำได้ดี แทนการตำหนิเมื่อผิดพลาด
• ให้โอกาสในการเคลื่อนไหว เช่น กิจกรรมทางกาย หรือการเรียนแบบ Active Learning
• การรักษาและบำบัด อาจมีทั้งด้านจิตวิทยา พฤติกรรมบำบัด และในบางกรณีอาจใช้ยาควบคู่กัน
ภาวะสมาธิสั้น (ADHD) อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่หากมองข้ามหรือไม่เข้าใจ อาจส่งผลกระทบระยะยาวได้ การเริ่มต้นด้วยความเข้าใจและการสนับสนุนที่เหมาะสมจากครอบครัว โรงเรียน และสังคม จะช่วยให้เด็กเหล่านี้เติบโตและใช้ศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
การวินิจฉัยว่าเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ จำเป็นต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกายในบางกรณี เพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจทำให้มีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้นได้ ดังนั้น หากสงสัยว่าลูกจะเป็นโรคสมาธิสั้น ควรพาเด็กมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไป
ข้อมูล : สถาบันราชานุกูล / คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
Advertisement