รัฐบาลดิจิทัล-เปลี่ยนโฉมบริการภาครัฐ ภราดรชี้ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ได้ยินคำว่า ‘รัฐบาลดิจิทัล’ กันมาหลายปี หลายคนน่าจะอยากรู้ว่าตอนนี้คืบหน้าไปถึงไหน มีการทำอะไร-อย่างไรบ้าง ?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความคืบหน้าของ ‘รัฐบาลดิจิทัล’ ถูกกล่าวถึงล่าสุดในงานสัมมนาและนิทรรศการ ‘Digital Government Summit 2025 (DG Summit 2025)’ ซึ่งสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Leading Thailand to the Top in GovTech’ ในวันที่ 14-15 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้า EMSPHERE กรุงเทพฯ
ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงานในหัวข้อ ‘Empowering the Nation through Digital Government’ โดยกล่าวถึงความคืบหน้าในการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย ที่มุ่งเน้นความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ อำนวยความสะดวกให้ประชาชนและภาคธุรกิจได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และเท่าเทียม โดยมีสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA เป็นหน่วยงานกลางในการผลักดันระบบนิเวศรัฐบาลดิจิทัลของประเทศ
ภราดรกล่าวว่า ‘รัฐบาลดิจิทัล’ เป็นหนึ่งในภารกิจเร่งด่วนใน 4 เดือนของรัฐบาลนี้ โดยมองว่า รัฐบาลดิจิทัล ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาทางเทคโนโลยี แต่เป็นการออกแบบอนาคตของประเทศและอนาคตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดแนวทางพัฒนารัฐบาลดิจิทัลให้เป็น ‘Digital by Design’ คือ ออกแบบทุกบริการของรัฐโดยยึดความต้องการของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ขณะเดียวกัน รัฐบาลกำลังยกระดับ ‘Open Government’ เพื่อความโปร่งใส ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลของรัฐได้จริง ตรวจสอบได้จริง และมีส่วนร่วมสะท้อนความคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐอย่างเป็นระบบ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีบอกอีกว่า รัฐบาลกำลังเดินหน้า 3 นโยบายสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมการบริการของรัฐอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่
1.Single Portal, All Services: รวมบริการภาครัฐไว้ในที่เดียวที่แอป ‘ทางรัฐ’ เป็น super app ที่รวมบริการทุกอย่างของภาครัฐ ซึ่งเชื่อมบริการภาครัฐแล้วถึง 465 บริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้ใช้งานได้ในแอปเดียว และกำลังเพิ่มบริการกว่า 2,000 บริการ โดยการให้บริการจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชน
2. One Data, Once Only: ขอข้อมูลจากประชาชนเพียงครั้งเดียว ประชาชนจะไม่ต้องกรอกข้อมูลเดิมซ้ำๆ เมื่อติดต่อหน่วยงานรัฐ โดยทุกหน่วยงานจะเชื่อมโยงข้อมูลกันผ่านระบบ Government Data Exchange (GDX)
3. Safe from Risks, Secure from Leaks: ยกระดับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย Cloud First Policy เพื่อให้ข้อมูลของประชาชนได้รับการปกป้องอย่างดี ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของชาติ
“ทั้งสามนโยบาย ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคหรือความทันสมัยทางเทคโนโลยี แต่เป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานของภาครัฐของไทย จากระบบที่แยกส่วนสู่ระบบที่เชื่อมโยง จากบริการที่อยู่บนโต๊ะราชการ สู่บริการที่อยู่ในมือถือของประชาชน”
นอกจากนั้น ภราดรกล่าวว่า รัฐมีความมุ่งมั่นที่จะจัดการวิกฤต ภัยพิบัติ โดยกำลังพัฒนาแพลตฟอร์มกลางที่บริหารจัดการเหตุฉุกเฉินแบบครบวงจร มีระบบแจ้งเตือน ระบบลงทะเบียนอาสาสมัคร ระบบรับแจ้งเหตุความเดือดร้อน ระบบการโอนเงินช่วยเหลือเยียวยาได้ทันท่วงที โดยจะรวมระบบบริการเหล่านี้ไว้ใน super app ‘ทางรัฐ’ ด้วย
“นี่คือหัวใจของแผนพัฒนาระบบดิจิทัลของประเทศไทย ประชาชนจะต้องได้รับความสะดวก มั่นใจ เป็นการบริการที่เข้าถึงได้สำหรับพี่น้องประชาชนทุกคน” ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้าน ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวปาถกฐาในหัวข้อ ‘Driving Thailand’s Digital Economy & Society’ เน้นย้ำถึงภารกิจสำคัญของกระทรวงดิจิทัลฯ คือ การสร้าง ‘เส้นเลือดใหญ่ของรัฐไทย’ ผ่าน Government Cloud และ Data Infrastructure ที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐอย่างปลอดภัย โปร่งใส และต่อเนื่อง
รมว.ดีอีเอสกล่าวอีกว่า ภัยคุกคามไซเบอร์เป็นภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ของประเทศ กระทรวงดิจิทัลฯ จึงยกระดับ ‘Thailand CERT’ เป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านไซเบอร์ระดับชาติทำงานตลอด 24 ชั่วโมง พัฒนากรอบ Decentralized Security Framework เพื่อป้องกันการโจมตีจากจุดเดียวและเสริมความยั่งยืนของระบบความปลอดภัยภาครัฐ ขณะเดียวกัน สิ่งที่ให้สำคัญไม่แพ้เทคโนโลยี คือ ความเชื่อมั่นของประชาชน กระทรวงดิจิทัลฯจึงมุ่งสร้างระบบคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเชิกรุก (Proactive Privacy Management) ภายใต้กฎหมาย PDPA และส่งเสริมมาตรการบริหารข้อมูลของภาครัฐ (National Data Governance Framework) ให้เป็นระบบเดียวกัน
“เป้าหมายไม่ใช่เพียงปกป้องข้อมูล แต่เป็นการใช้ข้อมูลอย่างถูกต้องและตรวจสอบได้ เพื่อสร้างวัฒนธรรมใหม่ของภาครัฐที่รับผิดชอบต่อข้อมูลของประชาชนอย่างแท้จริง” รมว.กระทรวงดิจิทัลฯกล่าว
นอกจากนั้น รมว.กระทรวงดิจิทัลบอกว่า กระทรวงดิจิทัลฯกำลังศึกษาความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีในการดำเนินงานของภาครัฐของต่างประเทศ ซึ่งจะนำมาปรับใช้กับประเทศไทยต่อไป อย่างเช่น ความสำเร็จของ Decentralized Security Framework ในประเทศเอสโตเนีย การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกระบวนการดำเนินงานของภาครัฐของประเทศอัลเบเนีย เช่นใช้ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐช่วยลดคอร์รัปชันและเพิ่มความโปร่งใส และการทุ่มทุนพัฒนา Sovereign AI Cloud ในประเทศมาเลเซีย เป็นต้น
