คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี ในการประชุมเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระยะฟื้นตัวที่เปราะบาง แม้ในครึ่งแรกของปีเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีตามคาดจากแรงส่งการส่งออกและมาตรการภาครัฐ แต่ในครึ่งหลังของปีเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวจากผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ การใช้จ่ายในประเทศที่อ่อนแรงลง และความเปราะบางของภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ยังประสบปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อและภาระหนี้สูง
กนง. เห็นว่าการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันจะช่วยให้ภาวะการเงินโดยรวมยังคงผ่อนคลายพอสมควร เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยเฉพาะในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญจากราคาพลังงานและอาหารสด
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ยังคงเน้นการดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง โดยคำนึงถึงจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ขีดความสามารถของ Policy Space ที่มีจำกัด พร้อมยืนยันว่าพร้อมปรับท่าทีทางนโยบายหากแนวโน้มเศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน แถลงผลการประชุมว่า กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยที่ดำเนินไปก่อนหน้านี้ยังอยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจจริง กรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ “จังหวะเวลา” และ “ประสิทธิผลของนโยบายการเงิน” ภายใต้ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) ที่มีจำกัด จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม กรรมการอีก 2 ท่านเห็นว่านโยบายการเงินยังสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ เพื่อให้ภาวะการเงินโดยรวมสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาปัญหาด้านสภาพคล่องและภาระหนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง
กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 จะขยายตัวร้อยละ 2.2 และ 1.6 ตามลำดับ โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีตามที่คาด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และปี 2569 เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนยังสามารถขยายตัวได้ในระดับหนึ่ง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง กนง. เห็นควรให้ติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบที่ชัดเจนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ความต่อเนื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ และการปรับตัวของภาคธุรกิจ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขัน การเข้าถึงสินเชื่อ และต้นทุนทางการเงินที่สูง
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.0 และ 0.5 ตามลำดับ แต่คาดว่าจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงต้นปี 2570 โดยการปรับลดของเงินเฟ้อเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลง มาตรการลดราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ และราคาอาหารสดที่ปรับลดจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย
อย่างไรก็ดี กนง. ประเมินว่าความเสี่ยงด้านเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากราคาสินค้าและบริการส่วนมากยังคงปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 และ 2569 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ทั้งสองปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางของภาคเอกชนยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย
ด้านอัตราดอกเบี้ยในระบบสถาบันการเงินและตลาดการเงินปรับลดลงสอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา แต่สินเชื่อโดยรวมยังคงหดตัวจากหลายปัจจัย ทั้งความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ลดลง ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ และความระมัดระวังของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นในบางช่วง ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกบางกลุ่ม กนง. จึงเห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีนัยสำคัญต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ พร้อมสนับสนุนให้มีมาตรการทางการเงินเฉพาะจุดเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบางให้สามารถปรับตัวได้
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มุ่งรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน กนง. ย้ำว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป พร้อมติดตามพัฒนาการและความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและการเงินอย่างต่อเนื่อง และพร้อมปรับนโยบายให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป