การเงิน

ประตูสู่โอกาสการลงทุนที่ดีที่สุดได้เปิดออกแล้ว หลังFED ลดดอกเบี้ย

29 ก.ย. 67
ประตูสู่โอกาสการลงทุนที่ดีที่สุดได้เปิดออกแล้ว หลังFED ลดดอกเบี้ย
ไฮไลท์ Highlight
  • เฟดได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง จะทำให้ดอกเบี้ยในบัญชีออมทรัพย์หรือตราสารหนี้เหล่านั้น มีอัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยที่น้อยลงตามไปด้วย นักลงทุนย่อมหันมาหาสินทรัพย์ที่จะให้ผลตอบแทนมากขึ้นเป็นธรรมดา

  • สถิติพบหลังเฟดลดดอกเบี้ยครั้งแรกผ่านไป 5 ปี จะพบว่า โอกาสที่ผลตอบแทนของ S&P500 จะเป็นลบเท่ากับ 0%  หรือจะพูดได้ว่าโอกาสที่ผลตอบแทนจะเป็นบวกคือเท่ากับ 100% เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ ‘อดทนรวย’ ได้นั่นเอง

และแล้วสิ่งที่ทั่วโลกรอคอยก็เกิดขึ้น นั่นคือการเปิดประตูสู่การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ครั้งแรกในรอบ  2 ปี หลังจากที่ได้ปรับขึ้นมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ลงอย่างได้ใจทีเดียว

โดยประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 17-18 กันยายน 2567 ที่ผ่านมามีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงมา 0.50% ในครั้งเดียว มาอยู่ที่ระดับ 4.75 - 5.00%  ซึ่งหากประเมินการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้จาก​ FED dot plot จะเห็นได้ว่า มีโอกาสที่จะเห็นดอกเบี้ยสหรัฐฯ​ อยู่ที่ระดับ 4.4% ในช่วงสิ้นปีนี้  ซึ่งสมาชิกของ FOMC มองว่า เฟด สามารถลดดอกเบี้ยเพิ่มได้อีก 2 ครั้งในปี 2024

ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อ โจทย์ใหญ่ที่เฟดพยายามต่อสู้มายาวนาน ล่าสุด​ สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) ประกาศอัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 2.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงของอัตราเงินเฟ้อ 5 เดือนติดต่อกันตั้งแต่ช่วงเมษายน เรียกได้ว่าเป็นระดับที่ไม่น่ากังวล และยังมีการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตจะสามารถลงมาอยู่ที่ระดับ 2.0% ในช่วงปี 2026 ได้

หากถามว่านี่คือเป็นโอกาสในการลงทุน? 

แน่นอนครับว่าเหตุการณ์นี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ครับ ว่าไปตามทฤษฎีแล้ว เมื่ออัตราดอกเบี้ยในระบบลดลง เงินก็ต้องไหลมาสู่สินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงขึ้น ซึ่งนั่นก็คือตลาดหุ้นนั่นเองครับ หากย้อนกลับไปในวันที่เฟดเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย​จะเห็นได้ว่า ในเวลานั้นคนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนและหันกลับมามานิยมในการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์หรือบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูงอีกครั้ง รวมถึงตราสารหนี้ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น เพื่อรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันความเสี่ยงก็ยังต่ำมากอีกด้วย

มาถึงเวลานี้เมื่อเฟด ได้ทำการประกาศปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง จะทำให้ดอกเบี้ยในบัญชีออมทรัพย์หรือตราสารหนี้เหล่านั้น มีอัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยที่น้อยลงตามไปด้วย นักลงทุนย่อมหันมาหาสินทรัพย์ที่จะให้ผลตอบแทนมากขึ้นเป็นธรรมดา

วันนี้ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจจาก MorningStar มาฝากครับ นั่นคือข้อมูลผลตอบแทนของ S&P500  หลังจากที่เฟดเริ่มมีการปรับลดดอกเบี้ยตั้งแต่ช่วงปี 2517 -2562 หรือ 45 ปีย้อนหลังพบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว เฟดมีการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกทั้งหมด 10 ครั้ง ซึ่งค่าเฉลี่ยพบว่าหลังปรับลดดอกเบี้ย ผลตอบแทนของ S&P500 จะเป็นบวกถึง 15% ภายใน 1 ปีแรก แต่หากระยะเวลาผ่านไปเป็น 3-5 ปีหลังจากนั้น จะมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนอยู่ที่ 12% 

แต่ที่น่าสนใจคือ ​หากทอดเวลาออกไปจะพบว่ายิ่งนานวันหลังจากเฟดลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก โอกาสที่ผลตอบแทนจะเป็นบวกยิ่งมีสูงมากขึ้น กล่าวคือ สถิติการลดดอกเบี้ยทั้ง 10 ครั้งดังกล่าว เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี หรือ 3 ปี  แม้ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนที่ออกมาจะเป็นบวก  แต่ระหว่างทางยังมีบางช่วงเวลาที่ผลตอบแทนของ S&P500  ติดลบไปได้บ้าง  

โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจหนักๆ ในสหรัฐฯ จนทำให้ตลาดหุ้นดิ่งลงรุนแรง เช่น ในปี 2001 หลังเกิดวิกฤติฟองสบู่ดอทคอม (Dot com bubble) หรือ ช่วงปี 2007 ที่สหรัฐฯเกิดวิกฤติ Subprime Crisis ผลตอบแทนของ S&P500 หลังเฟดลดดอกเบี้ยครั้งแรกกลับในติดลบทุกช่วงเวลา ยกเว้นช่วงเวลาหลังลดดอกเบี้ยครั้งแรกผ่านไป 5 ปีที่ผลตอบแทนไม่ติดลบและกลับเป็นบวกที่ 0.4% และ 1.5% ตามลำดับ 

สถิตินี้กำลังบอกเราว่า หลังเฟดลดดอกเบี้ยครั้งแรกผ่านไป 5 ปี จะพบว่า โอกาสที่ผลตอบแทนของ S&P500 จะเป็นลบเท่ากับ 0%  หรือจะพูดได้ว่าโอกาสที่ผลตอบแทนจะเป็นบวกคือเท่ากับ 100% เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ ‘อดทนรวย’ ได้นั่นเอง

และหากคุณกำลังกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย(Recession)  ในสหรัฐฯ ผมก็มีสถิติของ S&P500 หลังการลดดอกเบี้ยแล้วตลาดเข้าสู่ภาวะถดถอยมาฝากอีกเช่นกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คล้ายคลึงกัน นั่นกฺ็คือเมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และภายหลังจากการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกผ่านไป 1 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยยังติดลบ 8% แต่หากผ่านไป 5 ปี ผลตอบแทนจะเป็นบวกที่ 5% โดยเฉลี่ย และในระยะ 5 ปี ก็มีโอกาสที่ผลตอบแทนจะเป็นบวกเท่ากับ 100% เช่นเดียวกัน

ผมจึงสรุปได้ว่า  การลงทุนใน S&P500 ภายหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟด (ซึ่งนั่นก็คือช่วงเวลานี้นี่แหละ) คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักลงทุนระยะยาว เพราะหากเราใจเย็นพอ ทอดเวลาลงทุนให้เนิ่นนานขึ้นเป็น 5 ปีได้ โอกาสที่คุณจะขาดทุนแทบไม่มีเลย แม้ว่าตลาดจะผ่านวิกฤติหรือเข้าสู่ภาวะถดถอยก็ตาม 

หากสถิติดังกล่าวยังไม่พอ ผมขอนำอีกหนึ่งสถิติผลตอบแทนของ  Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ที่เปิดให้บริการตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 มาถึงวันนี้ (22 กันยายน 2567 ) ก็ราว 4 ปีเศษผลตอบแทน​อยู่ที่ 67.95% ไม่น้อยเลยจริงไหมครับ เห็นแบบนี้แล้ว นักลงทุนระยะยาวอย่างคุณยังคิดจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดรอดไปได้จริงหรือ

ข้อมูลเหล่านี้อาจจะเป็นบทพิสูจน์ของการลงทุนระยะยาวในเชิงสถิติที่ผมนำมาแบ่งปันคุณ จริงอยู่ที่ว่า คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อผมหรือสถิติใดๆ  แต่อย่าลืมว่าเราศึกษาสถิติเพื่อคาดการณ์อนาคต นี่จึงเป็นการมองอนาคตที่อาจจะเกิดชึ้น ซึ่งแน่นอนว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ ​

และผมยังมีกำลังเสริมที่น่าสนใจในช่วงเวลานี้ นั่นก็คือค่าเงินบาทในเวลานี้ที่กำลังแข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแปลว่าคุณแลกเงินดอลลาร์ได้มากขึ้น ใช้เงินน้อยลงในการลงทุน ได้จำนวนหุ้นมากขึ้นเรียกว่ากำไรตั้งแต่ยังอยู่ในมุ้งครับ  เพราะใครจะรู้หากใน 5 ปีข้างหน้าที่คุณได้กำไรจากการลงทุนใน S&P500 ตามสถิติที่บอกไว้แล้ว และค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง เท่ากับว่าโอกาสทำกำไร 2 เด้งรออยู่ไม่ไกลเลย จริงไหมครับ

ดังนั้นแล้วในช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาทอง หรือ Golden Period ที่เปิดไว้ท้าทายคุณๆ ทุกคนให้เข้ามาพิสูจน์การลงทุนระยะยาวด้วยตัวเอง แล้ว 5 ปีข้างหน้าเราจะกลับมาพิสูจน์กันอีกครั้งนะครับ  ว่าผลลัพท์ที่ได้จะออกมาเช่นเดียวกันกับสถิติที่ผมนำมาแบ่งปันหรือไม่    

เวลานี้ประตูแห่งโอกาสบานนี้เปิดออกแล้วนะครับ ขึ้นอยู่กับคุณจะเลือกคว้าโอกาสทองนี้ไปด้วยกันหรือไม่ครับ ผมหวังว่าใน 5 ปีข้างหน้า จะไม่มีใครร้องว่า ‘รู้งี้’ กันเลยนะครับ 

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT