การเงิน

แจกสูตรลัด จัดพอร์ตให้รุ่ง กระจายความเสี่ยงโลกลงทุน

12 ก.ค. 66
แจกสูตรลัด จัดพอร์ตให้รุ่ง กระจายความเสี่ยงโลกลงทุน
ไฮไลท์ Highlight
สมมติว่ามีสินทรัพย์ 2 ตัวคือ A กับ B ให้เลือกลงทุน จากเดิมที่จะวิเคราะห์ทั้ง A และ B เพื่อจะเลือกซื้อตัวใดตัวนึงแต่หลักการ Modern Portfolio Theory คือ เราจะวิเคราะห์ทั้ง A และ B รวมกันเป็นพอร์ตเดียวครับ โดยให้น้ำหนักแต่ละตัวต่างกัน จากนั้นจึงนำมาวิเคราะห์กำไรต่อความเสี่ยงของพอร์ตนั้นๆซึ่งตัวแปรในการวิเคราะห์ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า กำไร และ ความเสี่ยง

เวลาที่คุณเจอเรื่องยากๆ ในชีวิต คุณคิดถึงอะไรกันบ้างครับ  บางทีเราก็อยากให้ชีวิตเป็นเหมือนในเกมที่มักจะมี ‘สูตรลัด’ ที่ทำให้คุณชนะได้ง่ายขึ้น หรือได้ตัวช่วยที่ทำให้คุณไม่ต้องเครียดเกินไปได้เหมือนกัน มันคงจะดีไม่น้อยเหมือนกันนะครับ ถ้าสามารถกดปุ่มเรียกตัวช่วยหรือ ‘กดสูตรลัด’ เพื่อให้เรื่องราวในชีวิตผ่านไปได้ง่ายขึ้นบ้าง

แม้ในชีวิตจริงเราอาจจะไม่พบสูตรลัดได้ง่ายๆแต่ในโลกการลงทุน สามารถทำได้! แถมยังเป็นสูตรที่ได้รับการยอมรับจนถึงขนาดได้รับรางวัลโนเบลอีกด้วย สูตรที่ว่าคือ ‘Modern Portfolio Theory’ ครับ

แต่อย่าพึ่งดีใจไป เพราะมันไม่ใช่แค่การกดสูตร จิ้มสองสามครั้งที่คีย์บอร์ดหรือกดปุ่มแบบไวๆ บนจอยสติกนะครับ แต่เป็น สูตร ‘การจัดสรรสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุน’  ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักสูตรนี้คร่าวๆ กันสักหน่อยครับ 

ย้อนกลับไปปี 2495   นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันนามว่า Harry Markowitz ได้นำเสนอหลักการในบทความวิชาการหัวข้อ Portfolio Selection ที่ว่าด้วยการจัดสรรพอร์ตการลงทุนด้วยสมการ Modern Portfolio Theory เปลี่ยนจากการวิเคราะห์การลงทุนแบบรายตัวมาเป็นวิเคราะห์การลงทุนแบบ Portfolio สมัยใหม่ ซึ่งต่อมาแนวคิดนี้ของ Markowitz ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2533

 harrymarkowitz

ที่มาของแนวคิดนี้คือ ลึกๆแล้วนักลงทุนไม่ได้ชอบความเสี่ยงครับ (นักลงทุนชอบผลตอบแทน) หรือถ้าจะต้องเสี่ยง ผลลัพธ์ที่ได้จะต้องคุ้มค่ากับความเสี่ยงครับ หากความเสี่ยงไหนที่วิเคราะห์แล้วว่าไม่คุ้ม หลายคนอาจจะหันกลับมาเลือกอะไรที่ผลตอบแทนน้อยลง แต่สบายใจมากกว่า

การลงทุน

เช่นให้คุณเดินข้ามถนนแปดเลนเพื่อไปรับเงินรางวัล 1 ล้านบาท กับเดินข้ามถนนแค่สองเลนเพื่อรับเงิน 8 แสนบาท คุณอาจจะเลือกเงินแค่ 8 แสนเพราะส่วนต่าง 2 แสนบาทนั้นไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่มากขึ้นนั่นเอง แต่ในการลงทุนจริง ไม่ได้มีเงินวางไว้ให้เห็นอย่างนั้นครับ เราไม่รู้ครับว่า ข้ามถนนที่มีแค่สองเลนไปแล้วจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ อาจจะน้อยกว่าการเสี่ยงข้ามถนนแปดเลนแบบฟ้ากับเหวเลยก็ได้

ดังนั้นโจทย์ก็คือถ้าเรารู้แล้วว่าเราไหวที่สองเลน…แล้วเราจะทำยังไงให้ข้ามไปแล้วได้ผลตอบแทนมากที่สุด นั่นก็คือ ถ้ามีสินทรัพย์ 2 ตัวที่มีกำไรและความเสี่ยงต่างกัน ตัวที่มีกำไรมากกว่าย่อมต้องมีความเสี่ยงมากกว่าใช่ไหมครับ แล้วจะทำยังไงให้ตัวที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าทำกำไรได้มากขึ้น โดยความเสี่ยงไม่มากตามไปด้วย ซึ่ง Markowitz ได้หาคำตอบแบบนี้ครับ

สมมติว่ามีสินทรัพย์ 2 ตัวคือ A กับ B ให้เลือกลงทุน จากเดิมที่จะวิเคราะห์ทั้ง A และ B เพื่อจะเลือกซื้อตัวใดตัวนึงแต่หลักการ Modern Portfolio Theory คือ เราจะวิเคราะห์ทั้ง A และ B รวมกันเป็นพอร์ตเดียวครับ โดยให้น้ำหนักแต่ละตัวต่างกัน จากนั้นจึงนำมาวิเคราะห์กำไรต่อความเสี่ยงของพอร์ตนั้นๆซึ่งตัวแปรในการวิเคราะห์ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า กำไร และ ความเสี่ยง

มาดูที่กำไรก่อนทั้ง A และ B กำไรก็คือกำไรเหมือนกัน ใช้วิธีคิดหรือตีเป็นมูลค่าแบบเดียวกัน จึงสามารถคิดรวมกันได้เลย แต่ความเสี่ยงไม่สามารถรวมกันตรงๆ แบบนั้นได้ครับ เพราะความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละตัวแม้จะสามารถตีออกมาเป็นระดับหรือเปอร์เซ็นได้เหมือนกัน แต่นิยามความเสี่ยงอาจจะต่างกันสิ้นเชิงจึงต้องมีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยครับ

ซึ่งค่าที่ว่านี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ยิ่งค่าสหสัมพันธ์ต่ำ ก็มีโอกาสที่ความเสี่ยงโดยรวมจะลดลงได้ครับ เช่น A ลบ แต่ B คงที่ หรือเป็นบวก พอร์ตรวมก็จะติดลบน้อยลงครับ ทำให้เมื่อ A และ B รวมกันในพอร์ตเดียว กำไรก็จะเพิ่มขึ้น แต่ความเสี่ยงไม่ได้เพิ่มขึ้นตามเพราะมีเรื่องของ ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) เข้ามาเอี่ยวด้วยนั่นเอง

ใส่ตัวเลขให้เห็นภาพ เช่น A กำไร 10% ความเสี่ยง 8% ส่วน B กำไร 15% ความเสี่ยง 12% และให้เราลงทุนทั้ง 2 ตัว ตัวละ 50% ของพอร์ต น้ำหนักแต่ละตัวจะเท่ากับ 0.5 เมื่อรวมกันแล้วจะได้กำไรอยู่ที่ 12.5% [(10*0.5)+(15*0.5)] แต่ความเสี่ยงจะไม่เท่ากับ 10% [(8*0.5)+(12*0.5)] โดยจะมีค่าน้อยกว่า หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ที่เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญอีกทีครับ

ทั้งหมดนี้คือไอเดียของ Modern Portfolio Theory ครับซึ่งความจริงไม่ได้คำนวณสินทรัพย์หรือหุ้นแค่ 2-3 ตัว แต่เป็นการคำนวณที่หลากหลายครับ จนได้ออกมาเป็นพอร์ตการลงทุนที่ขยายผลกำไรได้มากที่สุด ในความเสี่ยงที่น้อยที่สุด

เมื่อทำความรู้จักสูตรหรือทฤษฎีไปแล้ว เรามาต่อที่วิธี ‘กดสูตร’ หรือวิธีการปรับใช้กันเลยครับจากแนวคิดและวิธีการคำนวณต่างๆ สามารถสรุปออกมาได้ 2 หลักสำคัญ นั่นก็คือ

  1. จัดสรรสินทรัพย์ (Asset allocation) คือการคัดเลือกสินทรัพย์หลากหลายประเภทที่มีค่าสหสัมพันธ์ต่ำ หรือไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กัน เมื่อตัวนึงราคาตก อีกตัวอาจจะขึ้น ส่งผลให้มูลค่าพอร์ตโดยรวมไม่ผันผวนมาก
  2. การกระจายความเสี่ยง (Diversification) คือเมื่อคุณได้สินทรัพย์ต่างประเภทมาจัดพอร์ตถ่วงดุลกันแล้ว หลักทรัพย์ในแต่ละประเภทควรมีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมด้วย

เช่นหากมีการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทหุ้น ก็ควรจะประกอบไปด้วยหุ้นในแต่ละอุตสาหกรรม หรือ กระจายไปในแต่ละประเทศ เช่น หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา และตลาดเกิดใหม่ เป็นต้นครับ

ซึ่งทั้ง 2 เป็นเพียงไม่กี่สิ่งในโลกการลงทุนที่คุณสามารถควบคุมได้ครับ ไม่เหมือนสภาวะตลาด เศรษฐกิจ หรือราคาหลักทรัพย์ ที่คุณไม่สามารถควบคุมหรือคาดการณ์ได้

ดังนั้นหากคุณต้องการตัวช่วยที่จะทำให้ สามารถลงทุนระยะยาวได้แบบสบายใจมากขึ้น ก็ลองนำสูตร Modern Portfolio Theory ไปปรับใช้ตามสไตล์ที่เป็นตัวคุณได้เลยครับ

เหมือนที่ Jitta Wealth เราก็ได้จัดพอร์ตการลงทุนตามสูตร Modern Portfolio Theory เพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงได้ง่ายๆ  ผ่านนโยบายการลงทุน Global ETF ที่จัดพอร์ตตามหลักการ โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ 2 ประเภทคือ หุ้นและตราสารหนี้โดยการลงทุนผ่าน ETF ที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และคุณสามารถเลือกสัดส่วนการลงทุนในระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ด้วย  สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://jittawealth.com/.... หวังว่าสูตรลัดการลงทุนนี้ จะทำให้คุณลงทุนได้อย่างมีความสุขมากขึ้นนะครับ

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT