ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเชิงบวกอย่างชัดเจน โดยเข้าช่วงท้ายสัปดาห์ด้วยการทำ “นิวไฮ” เหนือระดับ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สะท้อนถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางภาวะตลาดโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากเศรษฐกิจ การเมือง และนโยบายการเงินที่ผันผวน
GCAP GOLD ระบุว่าแรงซื้อทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ยังคงหนาแน่น โดยได้รับแรงหนุนจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง วิกฤต Government Shutdown ที่ยืดเยื้อ และแนวโน้มเฟดลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้กำลังขับเคลื่อนราคาทองคำให้ยืนเหนือระดับสำคัญได้อย่างแข็งแกร่ง และเปิดทางให้ขาขึ้นยังดำเนินต่อไป
ขณะเดียวกัน กระแส De-dollarization ที่เร่งตัวทั่วโลกกำลังตอกย้ำบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์หลักในการกระจายความเสี่ยง ท่ามกลางความไม่ไว้วางใจต่อเสถียรภาพของเงินดอลลาร์และระบบการเงินสหรัฐฯ
จากปัจจัยนี้ ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. InnovestX มองว่าแนวโน้มระยะยาวของทองคำยังเป็นบวก มีโอกาสพุ่งแตะระดับ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ในระยะกลางถึงยาว โดยมีแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกเร่งสะสมทองคำเป็นทุนสำรอง และจากนโยบายทางเศรษฐกิจที่เน้นการกดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ โดยหากเฟดยังไม่มีสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า
นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด (GCAP GOLD) เปิดเผยว่า ราคาทองคำเปิดสัปดาห์ด้วยทิศทางบวกอย่างแข็งแกร่ง และในช่วงต้นสัปดาห์ได้ปรับขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ (New High) ทะลุระดับ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ยังคงหนาแน่นในภาวะที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญความไม่แน่นอน ทั้งจากปัจจัยเศรษฐกิจ การเมือง และนโยบายการเงิน โดยมีแรงหนุนสำคัญจาก 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน ที่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเตรียมเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มขึ้นจากเดิม 30% เป็น 130% พร้อมควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ด้านจีนตอบโต้ทันทีโดยระบุว่าพร้อมใช้มาตรการสวนกลับอย่างเฉียบขาด ส่งผลให้ตลาดกังวลว่าสงครามการค้ารอบใหม่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง
แม้ทรัมป์จะมีท่าทีผ่อนคลายลงในบางช่วง แต่ตลาดยังคงมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังเปราะบางและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ปัจจัยนี้จึงเพิ่มแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
2. ปัญหาการเมืองในสหรัฐฯ โดยเฉพาะวิกฤต Government Shutdown ที่ยืดเยื้อ
สถานการณ์ Government Shutdown ของสหรัฐฯ เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 โดยยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาเรื่องงบประมาณ ขณะที่ภาครัฐเริ่มมีการเลิกจ้างพนักงานบางส่วน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในวงกว้าง นักลงทุนจึงลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและหันมาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น ทำให้ราคาทองคำได้รับแรงหนุนในระยะสั้นอย่างชัดเจน
3. การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง:
ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในเดือนตุลาคม 2568 โดยมีโอกาสสูงถึง 96% และอาจลดอีกครั้งในเดือนธันวาคม โดยมีความเป็นไปได้ถึง 87% การคาดการณ์ดังกล่าวทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลง ซึ่งเป็นแรงส่งสำคัญต่อราคาทองคำ เนื่องจากช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการถือครองทองคำซึ่งไม่มีดอกผลเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่
ฝ่ายวิเคราะห์ GCAP GOLD ประเมินว่า ภาพรวมราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเชิงบวกอย่างชัดเจน โดยราคายังคงทรงตัวเหนือระดับสำคัญที่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ ได้อย่างมั่นคง จึงยังคงแนะนำให้นักลงทุนที่ถือสถานะฝั่งซื้ออยู่แล้วเดินหน้า Run Profit ต่อไปได้ โดยแนวโน้มหลักยังคงเป็นขาขึ้น
ในสัปดาห์นี้ GCAP GOLD แนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาทองคำมีการย่อตัว หากราคาทองคำยังคงยืนได้เหนือแนวรับที่ 4,090–4,050 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่าราคาทองคำไทยประมาณ 63,000-62,500 บาท) คาดว่ามีโอกาสดีดกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 4,200-4,250 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 64,700-65,300 บาทต่อบาททองคำ)
ทั้งนี้ GCAP GOLD ยังเตือนให้นักลงทุนติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งอาจมีผลกระทบโดยตรงต่อความผันผวนของราคาทองคำ รวมถึงผลการเจรจางบประมาณของสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อการยุติหรือยืดเยื้อของภาวะ Government Shutdown เนื่องจากทั้งสองปัจจัยนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำมีความผันผวนในระยะสั้น
ด้าน ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. InnovestX ระบุว่าภาพใหญ่ยังมีโอกาสที่ราคาทองจะปรับขึ้นต่อได้ไปถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ สาเหตุสำคัญที่สุดคือ การเกิดเทรนด์ De-dollarization หรือการลดบทบาทของเงินดอลลาร์ลง จากนโยบายที่สุดโต่งของโดนัลด์ทรัมป์ ทั้งการขึ้นภาษีการค้า และการกดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดให้ต่ำลง เป็นแรงหนุนสำคัญของราคาทองคำ
อีกปัจจัยสนับสนุนคือการที่ธนาคารกลางทั่วโลกเร่งซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเพื่อนำมาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ สะท้อนถึงความต้องการถือทองคำที่ยังคงสูง ขณะที่ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลกยังเปิดทางให้ทองคำทำหน้าที่เป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างชัดเจน
สำหรับปัจจัยระยะสั้น ดร.ปิยศักดิ์ ชี้ว่า การที่ราคาทองคำพุ่งทะลุ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 และแตะระดับสูงสุดที่ 4,059.31 ดอลลาร์ มาจากความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสถานการณ์ Government Shutdown ที่กดดันตลาดการเงินให้หันมาหาสินทรัพย์ปลอดภัย
ทั้งนี้หากเปรียบเทียบดูผลตอบแทนของการลงทุนทองคำในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาคือ ตั้งแต่ปี 2543 ถึงวันที่ 7 ต.ค. 2568 จะพบว่า
ด้านราคา ในปี 2568 เพียงปีเดียว ราคาทองคำปรับขึ้นแล้วกว่า 54% โดยนักลงทุนสถาบันและรายใหญ่เพิ่มการถือครองผ่านกองทุน ETF อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Bridgewater Associates ที่ระบุว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยกว่าดอลลาร์ และแนะนำให้จัดสรรทองคำราว 15% ของพอร์ตการลงทุน ขณะที่ Goldman Sachs ได้ปรับประมาณการราคาทองคำสิ้นปี 2026 ขึ้นเป็น 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พร้อมประเมินว่าตลาดกำลังก้าวเข้าสู่ “ตลาดกระทิง” ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2513
ทั้งนี้ สัญญาณเดียวที่อาจสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำคือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่จนถึงกลางปี 2569 ยังไม่มีแนวโน้มดังกล่าว จึงคาดว่าทองคำยังคงอยู่ในทิศทางบวกต่อเนื่อง