Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ห้องฉุกเฉิน ทำไงได้ตรวจก่อน? เปิด 3 เทคนิคไม่ต้องรอนาน คิวแรกได้เลย!

ห้องฉุกเฉิน ทำไงได้ตรวจก่อน? เปิด 3 เทคนิคไม่ต้องรอนาน คิวแรกได้เลย!

20 ต.ค. 68
11:43 น.
แชร์

ไม่ต้องรอนานให้หงุดหงิดหัวใจอีกต่อไป กับ 3 วิธีเป็นหัวแถว คิวแรกห้องฉุกเฉิน ได้ตรวจรักษาก่อนใคร

หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์ไปถึง ห้องฉุกเฉิน แล้วต้องนั่งรอเป็นชั่วโมง ทั้งที่รีบมาเพราะรู้สึกไม่สบายหรือมีอาการที่คิดว่า "ฉุกเฉิน" แต่กลับพบว่ามีคนที่มาทีหลังได้ตรวจก่อน หลายคนอาจเริ่มตั้งคำถามว่า จริงๆ แล้ว ห้องฉุกเฉินใช้หลักเกณฑ์อะไรในการเรียงคิวตรวจผู้ป่วย

ซึ่งก็ต้องบอกว่า ห้องฉุกเฉิน ไม่ได้ใช้เกณฑ์ ใครมาก่อนได้ตรวจรักษาก่อน แต่หลักเกณฑ์ในการคัดแยกผู้ป่วย (Triage) ซึ่งกระบวนการสำคัญในระบบบริการสุขภาพ โดยเฉพาะใน แผนกฉุกเฉิน (Emergency Department) หรือสถานการณ์ภัยพิบัติ ที่มีผู้ป่วยจำนวนมากในเวลาเดียวกัน

การคัดแยกมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรุนแรงของอาการ และจัดลำดับการดูแลรักษาให้เหมาะสม เพื่อให้ทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีจำกัดถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

แต่กระนั้นก็มีในหลายครั้งที่ปรากฏเป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็น คนไข้หรือญาติคนไข้โวยวาย ด่าทอ ทำลายข้าวของหรือบานปลายไปถึงการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่บุคลากรณ์ทางการแพทย์เพียงเพราะโมโหที่รอนาน หมอไม่มาตรวจสักที

ล่าสุด เพจฯ หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า ได้ออกมาเผย เทคนิคลับ ไปห้องฉุกเฉินให้ได้ตรวจก่อนใคร หากทำตามได้การันตีคิว 1 แน่นอน

ทั้งนี้ทางเพจฯ ได้ระบุว่า "วิธีไปห้องฉุกเฉิน…ให้ได้ตรวจก่อนใคร! หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์ ไปถึงห้องฉุกเฉินแล้วต้องนั่งรอเป็นชั่วโมง บางคนมาทีหลัง แต่ได้แซงคิวตรวจก่อน จนเริ่มสงสัยว่า… “ตกลงต้องทำยังไงถึงจะได้ตรวจก่อน?” วันนี้จะมาบอกเทคนิคให้ฟังกันครับ

วิธีที่1 ไปห้องฉุกเฉินแบบหัวใจไม่เต้นแล้วหรือหยุดหายใจไปแล้ว

ถ้าหัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจไปแล้ว คุณจะได้เป็นคิวแรกของห้องฉุกเฉินทันที ไม่ว่าหมอจะกำลังยุ่งแค่ไหน จะมีทีมวิ่งเข้ามาช่วย CPR กดหน้าอก ใส่ท่อช่วยหายใจ และช็อกไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ ทุกวินาทีคือการยื้อชีวิตของคุณให้กลับมาไวที่สุด

วิธีที่2 ไปห้องฉุกเฉินแบบหมดสติ ปลุกไม่ตื่น (GCS score<8)

ถ้าคนไข้หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ปลุกไม่ตื่นจะได้รับการตรวจโดยเร็วที่สุดเหมือนกัน เพื่อหาสาเหตุ เช่น น้ำตาลต่ำ ความดันตก เลือดออกในสมอง เป็นต้น และแก้ไขให้เร็วที่สุด

วิธีที่3 ไปห้องฉุกเฉินแบบชักกระตุกต่อเนื่องไปถึงรพ. ก็ยังไม่หยุด

ถ้าไปถึงโรงพยาบาลแล้วยังชักไม่หยุด ทีมแพทย์จะรีบให้ยาและช่วยเหลือทันทีให้ชักหยุดเร็วที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองบาดเจ็บ

ถ้าทั้ง 3 ข้อข้างบนนี้คุณทำไม่ได้ แปลว่า… คุณจะ "ไม่อยู่ในคิวที่ 1" ของห้องฉุกเฉิน

แต่มันก็ดีแล้วนะครับที่ไม่เกิดขึ้น เพราะนั่นคือกลุ่มที่เรียกว่า ฉุกเฉินวิกฤต อันตรายถึงชีวิต (Emergency Severity Index ระดับ 1) ที่ต้องได้รับการรักษาทันที

สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้คือ ห้องฉุกเฉินไม่ได้เรียงคิวตาม “ใครมาก่อนได้ตรวจก่อน” แต่เรียงตาม “ใครอาการหนักกว่าถึงจะได้ตรวจก่อน”

ดังนั้น… คนที่มาทีหลังแต่หัวใจหยุดเต้นอาจได้แซงคิวมาตรวจเป็นคนแรก กลับกัน คนที่มาเป็นคนแรกแต่อาการไม่หนัก อาจจะต้องรอคิวทั้งวันถึงจะได้ตรวจก็ได้

ระบบนี้มีชื่อว่า Emergency Severity Index (ESI) ใช้เพื่อคัดแยกความเร่งด่วนของผู้ป่วย ไม่ได้ดูว่าใครมาถึงก่อน แต่ดูว่าใครเสี่ยงต่อชีวิตมากที่สุด

ระดับของ “ความฉุกเฉินทางการแพทย์” ตาม Emergency Severity Index (ESI) แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้

ลำดับที่ 1 : ฉุกเฉินวิกฤต อันตรายถึงชีวิต (Resuscitation) คือภาวะที่ผู้ป่วย อาจเสียชีวิตได้ทันที หากไม่ได้รับการช่วยเหลือต้องได้รับการตรวจและรักษา “ทันทีทันใด” เช่น หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ หมดสติ ไม่รู้สึกตัว หรือชักต่อเนื่อง

ลำดับที่ 2 : ฉุกเฉินจริงและเร่งด่วน (Emergency) เป็นกลุ่มที่มี “ความเสี่ยงสูง” เช่นกัน แต่ยังพอมีเวลารอได้เล็กน้อย จะได้รับการรักษาภายใน 20 นาที เช่น

• ปวดศีรษะรุนแรงหรืออ่อนแรงเฉียบพลัน สงสัยหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก

• เจ็บหน้าอก สงสัยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

• สงสัยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis)

• หายใจเหนื่อย หอบแรง

ลำดับที่ 3 : ฉุกเฉินแต่ไม่เร่งด่วน (Urgency)

ยังคงเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษา แต่สามารถรอได้ระดับหนึ่ง จะได้รับการดูแลภายใน 60 นาที เช่น ปวดท้องมาก มีแผลขนาดใหญ่ เป็นต้น

ลำดับที่ 4 : เจ็บป่วยเร่งด่วน แต่ไม่ถึงขั้นฉุกเฉิน (Semi-urgency) อาการมีผลต่อความไม่สบายตัว แต่ไม่อันตรายต่อชีวิต จะได้รับการตรวจภายใน 120–180 นาที เช่น อาเจียนมาก เวียนหัว บ้านหมุน หรืออุบัติเหตุเล็กน้อยที่อาจจะต้องเอกซเรย์

ลำดับที่ 5 : ผู้ป่วยทั่วไป ไม่ฉุกเฉิน ไม่รีบ (Non-urgency)

คือกลุ่มที่อาการไม่รุนแรง สามารถรอได้โดยไม่เกิดอันตราย เช่น ผื่นคัน เป็นหวัด มีไข้ทั่วไป หรือมาขอใบรับรองแพทย์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้รับการตรวจ หลังจากไม่มีผู้ป่วยระดับ 1–4 รออยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่า… มักต้องรอนานมาก

ลองทายกันดูสิครับ กลุ่มไหนในประเทศไทยที่มาห้องฉุกเฉินบ่อยที่สุด และมักไม่พอใจบุคลากรทางการแพทย์มากที่สุด?

....

....

คำตอบคือ…

ผู้ป่วยในลำดับที่ 4 และ 5 นั่นเอง

กลุ่มนี้มักมาด้วยเหตุผลว่ามาห้องฉุกเฉินน่าจะได้ตรวจก่อนเพราะที่นี่คือห้องฉุกเฉินแต่ในความเป็นจริง ห้องฉุกเฉินไม่ได้เรียงคิวตามลำดับการมาถึงแต่เรียงตามความเร่งด่วนของอาการ คนที่อาการหนักกว่า จะได้ตรวจก่อนเสมอ

ดังนั้น หากอาการอยู่ในระดับ 4–5 อาจต้องรอให้ทีมแพทย์ดูแลผู้ป่วยที่อาการรุนแรงกว่าก่อนซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องรอนาน และเมื่อรอนานมากเข้า หลายคนเริ่มรู้สึกว่า “ไม่มีใครสนใจ” จนกลายเป็นโพสต์บ่นลงโซเชียลว่า “โรงพยาบาลแย่ ไม่มีคนสนใจ” แต่จริงๆแล้ว บุคลากรทางการแพทย์เค้ากำลังช่วยชีวิตผู้ป่วยคนอื่นอยู่ครับ

สรุป

• ห้องฉุกเฉินเรียงคิวตาม “ความรุนแรงของอาการ” ไม่ใช่ “ลำดับการมาถึง”

• ผู้ป่วยที่อาการอาจถึงชีวิต จะได้ตรวจก่อนทุกคน

• ถ้าอาการไม่เร่งด่วน ไปแผนกผู้ป่วยนอก (OPD) จะเหมาะกว่า

เพราะในห้องฉุกเฉิน… ทุกนาทีคือชีวิตของใครบางคน

กดติดตามข้อมูลสาระสุขภาพได้ที่เพจฯ หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า

Advertisement

แชร์
ห้องฉุกเฉิน ทำไงได้ตรวจก่อน? เปิด 3 เทคนิคไม่ต้องรอนาน คิวแรกได้เลย!