ไม่ต้องรอนานให้หงุดหงิดหัวใจอีกต่อไป กับ 3 วิธีเป็นหัวแถว คิวแรกห้องฉุกเฉิน ได้ตรวจรักษาก่อนใคร
หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์ไปถึง ห้องฉุกเฉิน แล้วต้องนั่งรอเป็นชั่วโมง ทั้งที่รีบมาเพราะรู้สึกไม่สบายหรือมีอาการที่คิดว่า "ฉุกเฉิน" แต่กลับพบว่ามีคนที่มาทีหลังได้ตรวจก่อน หลายคนอาจเริ่มตั้งคำถามว่า จริงๆ แล้ว ห้องฉุกเฉินใช้หลักเกณฑ์อะไรในการเรียงคิวตรวจผู้ป่วย
ซึ่งก็ต้องบอกว่า ห้องฉุกเฉิน ไม่ได้ใช้เกณฑ์ ใครมาก่อนได้ตรวจรักษาก่อน แต่หลักเกณฑ์ในการคัดแยกผู้ป่วย (Triage) ซึ่งกระบวนการสำคัญในระบบบริการสุขภาพ โดยเฉพาะใน แผนกฉุกเฉิน (Emergency Department) หรือสถานการณ์ภัยพิบัติ ที่มีผู้ป่วยจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
การคัดแยกมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรุนแรงของอาการ และจัดลำดับการดูแลรักษาให้เหมาะสม เพื่อให้ทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีจำกัดถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
แต่กระนั้นก็มีในหลายครั้งที่ปรากฏเป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็น คนไข้หรือญาติคนไข้โวยวาย ด่าทอ ทำลายข้าวของหรือบานปลายไปถึงการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่บุคลากรณ์ทางการแพทย์เพียงเพราะโมโหที่รอนาน หมอไม่มาตรวจสักที
ล่าสุด เพจฯ หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า ได้ออกมาเผย เทคนิคลับ ไปห้องฉุกเฉินให้ได้ตรวจก่อนใคร หากทำตามได้การันตีคิว 1 แน่นอน
ทั้งนี้ทางเพจฯ ได้ระบุว่า "วิธีไปห้องฉุกเฉิน…ให้ได้ตรวจก่อนใคร! หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์ ไปถึงห้องฉุกเฉินแล้วต้องนั่งรอเป็นชั่วโมง บางคนมาทีหลัง แต่ได้แซงคิวตรวจก่อน จนเริ่มสงสัยว่า… “ตกลงต้องทำยังไงถึงจะได้ตรวจก่อน?” วันนี้จะมาบอกเทคนิคให้ฟังกันครับ
ถ้าหัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจไปแล้ว คุณจะได้เป็นคิวแรกของห้องฉุกเฉินทันที ไม่ว่าหมอจะกำลังยุ่งแค่ไหน จะมีทีมวิ่งเข้ามาช่วย CPR กดหน้าอก ใส่ท่อช่วยหายใจ และช็อกไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ ทุกวินาทีคือการยื้อชีวิตของคุณให้กลับมาไวที่สุด
ถ้าคนไข้หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ปลุกไม่ตื่นจะได้รับการตรวจโดยเร็วที่สุดเหมือนกัน เพื่อหาสาเหตุ เช่น น้ำตาลต่ำ ความดันตก เลือดออกในสมอง เป็นต้น และแก้ไขให้เร็วที่สุด
ถ้าไปถึงโรงพยาบาลแล้วยังชักไม่หยุด ทีมแพทย์จะรีบให้ยาและช่วยเหลือทันทีให้ชักหยุดเร็วที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองบาดเจ็บ
แต่มันก็ดีแล้วนะครับที่ไม่เกิดขึ้น เพราะนั่นคือกลุ่มที่เรียกว่า ฉุกเฉินวิกฤต อันตรายถึงชีวิต (Emergency Severity Index ระดับ 1) ที่ต้องได้รับการรักษาทันที
สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้คือ ห้องฉุกเฉินไม่ได้เรียงคิวตาม “ใครมาก่อนได้ตรวจก่อน” แต่เรียงตาม “ใครอาการหนักกว่าถึงจะได้ตรวจก่อน”
ดังนั้น… คนที่มาทีหลังแต่หัวใจหยุดเต้นอาจได้แซงคิวมาตรวจเป็นคนแรก กลับกัน คนที่มาเป็นคนแรกแต่อาการไม่หนัก อาจจะต้องรอคิวทั้งวันถึงจะได้ตรวจก็ได้
ระบบนี้มีชื่อว่า Emergency Severity Index (ESI) ใช้เพื่อคัดแยกความเร่งด่วนของผู้ป่วย ไม่ได้ดูว่าใครมาถึงก่อน แต่ดูว่าใครเสี่ยงต่อชีวิตมากที่สุด
ระดับของ “ความฉุกเฉินทางการแพทย์” ตาม Emergency Severity Index (ESI) แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้
• ลำดับที่ 1 : ฉุกเฉินวิกฤต อันตรายถึงชีวิต (Resuscitation) คือภาวะที่ผู้ป่วย อาจเสียชีวิตได้ทันที หากไม่ได้รับการช่วยเหลือต้องได้รับการตรวจและรักษา “ทันทีทันใด” เช่น หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ หมดสติ ไม่รู้สึกตัว หรือชักต่อเนื่อง
• ลำดับที่ 2 : ฉุกเฉินจริงและเร่งด่วน (Emergency) เป็นกลุ่มที่มี “ความเสี่ยงสูง” เช่นกัน แต่ยังพอมีเวลารอได้เล็กน้อย จะได้รับการรักษาภายใน 20 นาที เช่น
• ปวดศีรษะรุนแรงหรืออ่อนแรงเฉียบพลัน สงสัยหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก
• เจ็บหน้าอก สงสัยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
• สงสัยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis)
• หายใจเหนื่อย หอบแรง
• ลำดับที่ 3 : ฉุกเฉินแต่ไม่เร่งด่วน (Urgency)
ยังคงเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษา แต่สามารถรอได้ระดับหนึ่ง จะได้รับการดูแลภายใน 60 นาที เช่น ปวดท้องมาก มีแผลขนาดใหญ่ เป็นต้น
• ลำดับที่ 4 : เจ็บป่วยเร่งด่วน แต่ไม่ถึงขั้นฉุกเฉิน (Semi-urgency) อาการมีผลต่อความไม่สบายตัว แต่ไม่อันตรายต่อชีวิต จะได้รับการตรวจภายใน 120–180 นาที เช่น อาเจียนมาก เวียนหัว บ้านหมุน หรืออุบัติเหตุเล็กน้อยที่อาจจะต้องเอกซเรย์
• ลำดับที่ 5 : ผู้ป่วยทั่วไป ไม่ฉุกเฉิน ไม่รีบ (Non-urgency)
คือกลุ่มที่อาการไม่รุนแรง สามารถรอได้โดยไม่เกิดอันตราย เช่น ผื่นคัน เป็นหวัด มีไข้ทั่วไป หรือมาขอใบรับรองแพทย์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้รับการตรวจ หลังจากไม่มีผู้ป่วยระดับ 1–4 รออยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่า… มักต้องรอนานมาก
ลองทายกันดูสิครับ กลุ่มไหนในประเทศไทยที่มาห้องฉุกเฉินบ่อยที่สุด และมักไม่พอใจบุคลากรทางการแพทย์มากที่สุด?
....
....
คำตอบคือ…
ผู้ป่วยในลำดับที่ 4 และ 5 นั่นเอง
กลุ่มนี้มักมาด้วยเหตุผลว่ามาห้องฉุกเฉินน่าจะได้ตรวจก่อนเพราะที่นี่คือห้องฉุกเฉินแต่ในความเป็นจริง ห้องฉุกเฉินไม่ได้เรียงคิวตามลำดับการมาถึงแต่เรียงตามความเร่งด่วนของอาการ คนที่อาการหนักกว่า จะได้ตรวจก่อนเสมอ
ดังนั้น หากอาการอยู่ในระดับ 4–5 อาจต้องรอให้ทีมแพทย์ดูแลผู้ป่วยที่อาการรุนแรงกว่าก่อนซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องรอนาน และเมื่อรอนานมากเข้า หลายคนเริ่มรู้สึกว่า “ไม่มีใครสนใจ” จนกลายเป็นโพสต์บ่นลงโซเชียลว่า “โรงพยาบาลแย่ ไม่มีคนสนใจ” แต่จริงๆแล้ว บุคลากรทางการแพทย์เค้ากำลังช่วยชีวิตผู้ป่วยคนอื่นอยู่ครับ
สรุป
• ห้องฉุกเฉินเรียงคิวตาม “ความรุนแรงของอาการ” ไม่ใช่ “ลำดับการมาถึง”
• ผู้ป่วยที่อาการอาจถึงชีวิต จะได้ตรวจก่อนทุกคน
• ถ้าอาการไม่เร่งด่วน ไปแผนกผู้ป่วยนอก (OPD) จะเหมาะกว่า
เพราะในห้องฉุกเฉิน… ทุกนาทีคือชีวิตของใครบางคน
Advertisement