Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ไทยผลิต'แร่หายาก'อันดับ4ของโลก อาวุธใหม่ศึกการค้าหรือภัยสิ่งแวดล้อม?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ไทยผลิต'แร่หายาก'อันดับ4ของโลก อาวุธใหม่ศึกการค้าหรือภัยสิ่งแวดล้อม?

20 ต.ค. 68
14:30 น.
แชร์

ในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ผ่านมา หนึ่งในทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็น “อาวุธทางเศรษฐกิจ” อย่างชัดเจนคือ “แร่ธาตุหายาก” (Rare Earths) วัตถุดิบสำคัญที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์พลังงานสะอาด ไปจนถึงเครื่องมือทางการแพทย์ขั้นสูง และในสนามนี้ จีนคือผู้เล่นที่ถือไพ่เหนือกว่า เพราะเป็นทั้งผู้ผลิตรายใหญ่และประเทศที่มีทรัพยากรแร่หายากมากที่สุดในโลก

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจกลับมาปะทุอีกครั้ง หลังจากจีนประกาศใช้มาตรการใหม่อย่างครอบคลุมเพื่อจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยกำหนดให้บริษัทต่างชาติที่ต้องการส่งออกสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่เหล่านี้ แม้เพียงเล็กน้อย ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีนล่วงหน้า และต้องระบุวัตถุประสงค์การใช้งานอย่างชัดเจน ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตอบโต้ทันทีด้วยการขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% และเตรียมออกข้อจำกัดใหม่ต่อการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญบางประเภท เพื่อปกป้องเศรษฐกิจเทคโนโลยีของตนเอง

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าในยุคเศรษฐกิจโลกใหม่ “แร่หายาก” กำลังกลายเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ ที่ประเทศต่าง ๆ สามารถใช้ต่อรองทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างทรงพลัง และสิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ ประเทศไทยเองก็มีทรัพยากรแร่หายาก และเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานโลกในฐานะผู้ผลิตรายหนึ่ง

ในบทความนี้ SPOTLIGHT จะพาผู้อ่านสำรวจว่า ประเทศไทยมีแร่หายากมากน้อยเพียงใด ผลิตได้เท่าไร มีชนิดใดบ้าง และหากต้องการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากจริง ๆ ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายและเงื่อนไขสำคัญอะไรบ้างในการเดินหน้าเข้าสู่สนามทรัพยากรแห่งอนาคตนี้

แร่หายากคืออะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อเศรษฐกิจโลก

แร่หายากเป็นกลุ่มของโลหะหนัก 17 ชนิด ประกอบด้วยธาตุเคมี ได้แก่ ซีเรียม (cerium), พราเซโอไดเมียม (praseodymium), นีโอไดเมียม (neodymium), โพรมีเทียม (promethium), ซามาเรียม (samarium), ยูโรเปียม (europium), แกโดลิเนียม (gadolinium), เทอร์เบียม (terbium), ดิสโพรเซียม (dysprosium), โฮลเมียม (holmium), เออร์เบียม (erbium), ทูเลียม (thulium), อิตเทอร์เบียม (ytterbium), ลูทีเทียม (lutetium) และแลนทานัม (lanthanum) ซึ่งเป็นธาตุต้นแบบของกลุ่ม รวมถึงสแกนเดียม (scandium) และอิตเทรียม (yttrium) ทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่า “แร่แรร์เอิร์ธ” หรือ “ธาตุหายาก”

แม้แร่เหล่านี้จะพบได้ทั่วไปในธรรมชาติ แต่เหตุที่ถูกเรียกว่า “หายาก” มาจากความยากในการสกัดให้ได้ในรูปแบบบริสุทธิ์ โดยมักกระจายตัวปะปนอยู่กับแร่ชนิดอื่นในปริมาณน้อย อีกทั้งกระบวนการสกัดต้องใช้สารเคมีเข้มข้นและก่อให้เกิดของเสียที่เป็นพิษจำนวนมาก จึงทำให้ต้นทุนการผลิตสูงและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจุบัน แร่หายากจัดเป็นหมวดแร่ธาตุสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ซึ่งจำเป็นต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ระบบอาวุธ และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงใช้ในสินค้าตั้งแต่ของใช้ประจำวันจนถึงเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น หลอดไฟ ขีปนาวุธนำวิถี หน้าจอโทรทัศน์ที่ใช้ยูโรเปียมเป็นส่วนประกอบ และการขัดกระจกหรือกลั่นน้ำมันที่ใช้ซีเรียม แต่ละธาตุมีคุณสมบัติเฉพาะที่แทบไม่สามารถทดแทนได้ หรือหากทดแทนได้ก็ต้องใช้ต้นทุนสูงมาก ทำให้การจัดหาและการผลิตแร่หายากกลายเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ระดับโลก ทั้งในมิติการทูต การค้า และความมั่นคงทางอุตสาหกรรม

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่การถลุงจนถึงการแปรรูปแร่หายาก พร้อมครอบครองสิทธิบัตรจำนวนมากในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้บริษัททั่วโลกต้องพึ่งพาจีนในกระบวนการแปรรูปสินแร่ และทำให้เศรษฐกิจโลกผูกพันกับจีนอย่างลึกซึ้ง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อการที่จีนใช้มาตรการจำกัดการส่งออก โดยมองว่าเป็นภัยต่อเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานโลกและเป็นการใช้ทรัพยากรเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศ

ไทยมีแร่หายากสำรองอะไรบ้าง มีเท่าไร

ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) ปี 2567 ระบุว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรแร่หายากสำรองประมาณ 4,500 ตันของ Rare Earth Oxides (REO) อยู่อันดับที่ 12 ของโลก ส่วนประเทศที่มีทรัพยากรมากที่สุดห้าอันดับแรกได้แก่ จีน 44,000,000 ตัน บราซิล 21,000,000 ตัน อินเดีย 6,900,000 ตัน ออสเตรเลีย 5,700,000 ตัน และรัสเซีย 3,800,000 ตัน REO แม้ประเทศไทยจะมีปริมาณทรัพยากรรองลงมา แต่ถือว่ามีศักยภาพเชิงยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาค เนื่องจากตั้งอยู่บนแนวแร่ดีบุกแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นแหล่งแร่โลหะสำคัญของโลก

ในประเทศไทย แร่หายากมักพบในบริเวณแหล่งแร่ดีบุก (Sn) และทังสเตน (W) ซึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกสำคัญในอดีต แหล่งแร่เหล่านี้สัมพันธ์กับหินแกรนิตยุคมีโซโซอิก (Mesozoic Granite) และเป็นส่วนหนึ่งของแนวแร่ดีบุกแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทอดยาวกว่า 1,500 กิโลเมตร พื้นที่ดังกล่าวมักพบแร่ที่มีธาตุแร่หายาก (Rare Earth Elements: REE) เป็นผลพลอยได้ โดยเฉพาะแร่โมนาไซต์ (Monazite) และซีโนไทม์ (Xenotime) ซึ่งเกิดร่วมกับแร่ดีบุกและทังสเตนในชั้นหินแกรนิตและในลานแร่รอง

แร่โมนาไซต์มีสูตรเคมี (Ce, La, Y, Th)PO₄ ประกอบด้วยธาตุหายากสำคัญ ได้แก่ ซีเรียม (Ce) แลนทานัม (La) อิตเทรียม (Y) และทอเรียม (Th) ส่วนแร่ซีโนไทม์มีสูตรเคมี Y(PO₄) ประกอบด้วย Y₂O₃ ร้อยละ 61.4 และ P₂O₅ ร้อยละ 38.6 โดยอิตเทรียมมักถูกแทนที่ด้วยเออร์เบียม (Er) ซีเรียม (Ce) แลนทานัม (La) และสแคนเดียม (Sc) ขณะที่ทอเรียม ยูเรเนียม เซอร์โคเนียม เบริลเลียม และแคลเซียมอาจพบแทนที่ในปริมาณเล็กน้อย

ปัจจุบันแร่โมนาไซต์พบปะปนอยู่ในแหล่งลานแร่ดีบุกเกือบทุกแห่ง โดยเฉพาะตามหาดทรายและลำธารใกล้ภูเขาหินแกรนิตหรือหินไนส์ เช่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พัทลุง ภูเก็ต และอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ส่วนแร่ซีโนไทม์พบในแหล่งลานแร่ดีบุกในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระนอง พังงา ภูเก็ต ตะกั่วป่า ชุมพร กาญจนบุรี ราชบุรี และเชียงใหม่ แหล่งเหล่านี้สะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยในการพัฒนาแหล่งแร่หายากเชิงเศรษฐกิจ หากมีการวิจัยและเทคโนโลยีการสกัดที่เหมาะสมควบคู่กับมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่รัดกุม

สำหรับความเป็นมาในการสำรวจและศึกษาธาตุแร่หายากในประเทศไทย การศึกษาธาตุแร่หายากในประเทศไทยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในช่วงปี 2493-2502 โดยนักธรณีวิทยาจากกรมทรัพยากรธรณี ถือเป็นผู้บุกเบิกการศึกษานี้ โดยมุ่งสำรวจแร่ฟอสเฟตที่มี REE รวมถึงแร่แทนทาไลต์และโคลัมไบต์ที่มีแทนทาลัมและไนโอเบียม ต่อมาในช่วงปี 2513-2522 มีการค้นพบแร่ REE และแร่หนักในปริมาณมากในตะกอนรอง เช่น ลานแร่ดีบุกและแหล่งชายหาด โดยเฉพาะในภาคใต้ตอนกลางและคาบสมุทรไทย

ขณะที่ระหว่างปี 2508-2513 กรมทรัพยากรธรณีและคณะธรณีวิทยาเยอรมัน (German Geological Mission: GGM) ได้ร่วมมือกันเพื่อสำรวจศักยภาพของโลหะหนักและแร่หายาก โดยเฉพาะในภาคใต้ที่มีลานแร่ดีบุกจำนวนมาก ต่อมาในช่วงปี 2523-2532 ความร่วมมือกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ได้ขยายการสำรวจไปยังภาคเหนือและภาคกลางตอนบน พบว่าหินแกรนิตชนิด Two-mica และ Biotite เป็นแหล่งต้นกำเนิดสำคัญของแร่ Sn, W และ REE ต่อเนื่องในช่วงปี 2533-2542 การศึกษาร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และกรมทรัพยากรธรณี ระบุว่าหินแกรนิตชนิด S-type ซึ่งก่อตัวในช่วงยุคไทรแอสซิกถึงเทอร์เชียรี เป็นแหล่งกำเนิดหลักของแร่หายากในประเทศไทย

หลังปี 2543 เป็นต้นมา งานวิจัยเกี่ยวกับแร่หายากยังคงดำเนินต่อเนื่อง โดยนักธรณีจากไทยและญี่ปุ่นร่วมกันสำรวจพื้นที่ศักยภาพเชิงเศรษฐกิจ ผลการศึกษาชี้ว่าหินแกรนิตชนิด S-type ในซีรีส์อิลเมไนต์ที่ผ่านกระบวนการผุพัง มีศักยภาพสูงในการเป็นแหล่งกำเนิดแร่ REE แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีการสำรวจเพิ่มเติมในหินแกรนิตชนิดด่าง (Alkaline Granite) ที่สัมพันธ์กับกระบวนการแยกตัวของแผ่นเปลือกโลก เช่น ในพื้นที่จันทบุรี เกาะสมุย และบริเวณเหมืองชาตรี ซึ่งพบแร่โมนาไซต์และซีโนไทม์เกิดร่วมกับหินแกรนิตและเพกมาไทต์ชนิด S-type

โดยสรุป ธาตุแร่หายากของประเทศไทยมักพบในแหล่งดีบุกและทังสเตนในรูปของแร่โมนาไซต์และซีโนไทม์ ซึ่งประกอบด้วยธาตุสำคัญ ได้แก่ ซีเรียม (Ce) แลนทานัม (La) อิตเทรียม (Y) ทอเรียม (Th) เออร์เบียม (Er) และสแคนเดียม (Sc) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสูง 

ไทยผลิตแร่หายากได้เท่าไร อยู่ที่ไหนในห่วงโซ่การผลิตโลก

ข้อมูลกำลังการผลิตแร่หายากของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2563 ประเทศไทยมีกำลังการผลิตประมาณ 3,600 ตันของ Rare Earth Oxides (REO) จากนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 8,200 ตันในปี 2564 ก่อนจะลดลงเล็กน้อยเป็น 7,100 ตันในปี 2565 และลดลงอีกครั้งเป็น 3,600 ตันในปี 2566 อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ปริมาณการผลิตได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 13,000 ตัน REO ซึ่งนับเป็นระดับสูงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก เทียบเท่ากับไนจีเรียและออสเตรเลีย การขยายตัวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมต้นน้ำด้านวัสดุเทคโนโลยีสูง ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต

บริษัทที่โดดเด่นในภาคส่วนนี้คือ Neo Magnequench จากแคนาดา ซึ่งตั้งโรงงานในจังหวัดนครราชสีมา โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงอุตสาหกรรมให้พัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปและรีไซเคิลแร่หายากเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าและส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด โดยเป็นผู้ผลิตผงแม่เหล็กนีโอดิเมียม-ไอรอน-โบรอน (NdFeB) ซึ่งเป็นวัสดุหลักในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมอเตอร์ไฟฟ้าในรถยนต์ EV, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, และอุตสาหกรรมไฮเทคอื่น ๆ

โรงงานแห่งนี้เป็นฐานการผลิตแม่เหล็กถาวรสำคัญแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้แร่ธาตุหายาก เช่น นีโอไดเมียมและพราซิโอดีเมียม ในการผลิตแม่เหล็กสำหรับมอเตอร์ขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง โดยมีกำลังผลิตหลายพันตันต่อปี เพื่อป้อนให้กับผู้ผลิตยานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในภูมิภาค รวมถึงผู้ประกอบการในประเทศไทยที่เริ่มตั้งฐานการผลิต EV เช่น BYD ซึ่งได้เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบในจังหวัดระยอง มูลค่าการลงทุนกว่า 486 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม 2567

การมีทั้งฐานผลิตแม่เหล็กจาก Neo Magnequench และฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของ BYD รวมถึงผู้ผลิตจากญี่ปุ่นและยุโรป ทำให้ประเทศไทยเริ่มมี “อุปสงค์ภายในประเทศ” ต่อวัสดุแม่เหล็กและแร่หายากเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เมื่อการผลิต EV ของไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1 ล้านคันต่อปีตามเป้าหมายรัฐบาล

แม้ไทยยังไม่มีเหมืองแร่หายากในเชิงพาณิชย์ แต่มีการนำเข้าแร่ดิบจากต่างประเทศเพื่อแปรรูปในประเทศ ก่อนส่งออกในรูปผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม จึงทำให้ไทยมีมูลค่าการส่งออกโลหะหายากและออกไซด์รวมกว่า 50 ล้านดอลลาร์ต่อปี ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนว่าประเทศไทยอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตระดับกลางของโลก แต่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดทำแผน “อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาด (Clean Tech Industry Roadmap)” เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแยกและแปรรูปแร่หายาก รวมถึงการรีไซเคิลแม่เหล็กจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เก่า เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

‘ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม’ อุปสรรคสำคัญในการสร้างอุตสาหกรรมแร่หายาก

แม้แร่หายากจะเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมโลก โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีสะอาด พลังงาน และการทหาร แต่การได้มาซึ่งอำนาจนั้นต้องแลกด้วยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับประเทศไทย การเปิดเหมืองแร่หายากเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีกฎด้านสิ่งแวดล้อม และมีข้อจำกัดไม่ให้มีการทำเหมืองในพื้นที่ป่าหรือต้นน้ำ ซึ่งอาจกระทบประชาชนวงกว้าง ส่งผลให้ไทยยังจำกัดบทบาทอยู่ในขั้นสำรวจและวิจัย มากกว่าการทำเหมืองเชิงพาณิชย์

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือปัญหามลพิษจากเหมืองแร่หายากในรัฐฉานของเมียนมาร์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย กระบวนการสกัดแร่ในพื้นที่ดังกล่าวได้ปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งไหลต่อเนื่องเข้าสู่พื้นที่ภาคเหนือของไทย ทำให้ระดับสารหนูในน้ำเกินกว่ามาตรฐานความปลอดภัยอย่างมาก สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศและสุขภาพของชุมชนริมฝั่งน้ำ สำนักงานควบคุมมลพิษที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ตรวจพบสารหนูในน้ำเกินค่ามาตรฐานจากการเก็บตัวอย่างเมื่อเดือนเมษายน 2568 และยังพบการปนเปื้อนต่อเนื่องทุกสองสัปดาห์ในพื้นที่ปลายน้ำ รวมถึงในแม่น้ำโขงด้วย

รายงานของมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (SHRF) เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 เตือนถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเหมืองแร่หายากใกล้เมืองมองป๊อก ทางตอนเหนือของรัฐฉาน จาก 3 แห่งในปี 2558 เพิ่มเป็น 26 แห่งในต้นปี 2568 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่า เหมืองหลายแห่งอยู่ห่างจากชุมชนเพียง 3-4 กิโลเมตร และใช้วิธี In-situ Leaching โดยฉีดสารเคมีลงใต้ดินเพื่อให้แร่ละลายแล้วสูบขึ้นมา ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการปนเปื้อนน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน 

SHRF ระบุเพิ่มเติมว่า เหมืองหลายแห่งไม่ได้รับอนุญาตจากสภาบริหารแห่งรัฐเมียนมาร์ (SAC) และอาจมีข้อตกลงลับระหว่างกองทัพว้าและนักลงทุนจีน หมู่บ้านมองป๊อก ซึ่งเคยเป็นชุมชนเกษตรกรรมของชาวลาหู่และไทใหญ่ ถูกเปลี่ยนเป็นศูนย์กลางการลงทุนของจีน และเคยเชื่อมโยงกับขบวนการค้ามนุษย์และศูนย์คอลเซ็นเตอร์หลอกลวง ก่อนทางการจีนจะเข้าปราบปรามในปี 2566 รายงาน “Trapped in Hell” ของ SHRF ชี้ถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมจากเหมืองที่ไร้การกำกับ และเรียกร้องให้มีการสอบสวนระหว่างประเทศ พร้อมเตือนว่าการแสวงหาทรัพยากรอย่างไร้ขอบเขตคุกคามทั้งสุขภาพของประชาชนและเสถียรภาพของภูมิภาค

ขณะเดียวกัน จีนซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตและแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลกก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมมหาศาล เหมืองและโรงงานแปรรูปในเมืองเป่าโถว (Baotou) เขตมองโกเลียใน ได้สร้างมลพิษสะสมมาหลายสิบปี จนพื้นที่รอบ “เขื่อนเว่ยกวง” ซึ่งเป็นทะเลสาบตะกอนเทียมขนาดสี่ตารางไมล์ กลายเป็นจุดศูนย์กลางของของเสียพิษที่มีทั้งสารตะกั่ว แคดเมียม และธอเรียมกัมมันตรังสี นักวิชาการจีนระบุว่าฝุ่นพิษจากตะกอนในฤดูแล้งทำให้ชาวบ้านจำนวนมากป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจและโรคประสาท ขณะที่ในฤดูฝน สารพิษซึมลงสู่ชั้นน้ำใต้ดินและไหลไปยังแม่น้ำเหลืองซึ่งอยู่ห่างเพียง 7 ไมล์

นอกจากนี้ งานวิจัยในปี 2546 และ 2560 ยังพบว่าเด็กในเป่าโถวมีปัญหาพัฒนาการทางสมองและมีระดับแร่หายากในปัสสาวะสูงเกินมาตรฐาน แม้รัฐบาลจีนจะเริ่มฟื้นฟูและปรับปรุงระบบบ่อกักตะกอน เช่น เสริมคันดินด้วยหินและย้ายชุมชนออกจากพื้นที่ปนเปื้อน แต่ปัญหาฝุ่นพิษยังคงไม่หมดไป การตรวจสอบพื้นที่ในปี 2553 พบว่าคนงานยังคงกวนถังสารเคมีด้วยมือ ชุมชนใกล้เคียงเจ็บป่วยจำนวนมาก และเมืองทั้งเมืองถูกคลุมด้วยหมอกควันโลหะ

ในพื้นที่หลงหนานทางตอนใต้ของจีน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตแร่หายากหนัก รัฐบาลได้เริ่มปรับปรุงบ่อกักตะกอนด้วยระบบพลาสติกกันรั่ว แต่ลำธารในพื้นที่เหมืองขนาดเล็กหลายแห่งยังมีสีส้มและเกิดฟองแสดงถึงการปนเปื้อนที่ยังไม่สิ้นสุด รัฐบาลท้องถิ่นกลับจำกัดการรายงานปัญหามลพิษมากขึ้น และหน่วยงานที่กำกับดูแลสิ่งแวดล้อมบางแห่งมีผลประโยชน์ร่วมกับบริษัทเหมือง เช่น กลุ่มเป่ากั่ง (Baogang Group) ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองและโรงงานหลักในพื้นที่ และมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมทหารของจีน

กรณีของรัฐฉานและเป่าโถวสะท้อนให้เห็นด้านมืดของอุตสาหกรรมแร่หายากที่ทั่วโลกต้องพึ่งพา ทั้งในระดับท้องถิ่นและระหว่างประเทศ ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการขุดและแปรรูปยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการสร้างอุตสาหกรรมแร่หายากอย่างยั่งยืน และเป็นคำเตือนสำหรับประเทศที่กำลังวางแผนเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานนี้รวมถึงไทย ว่าความมั่งคั่งจากแร่หายากอาจมาพร้อมต้นทุนที่สังคมต้องแบกรับในระยะยาว


แชร์
ไทยผลิต'แร่หายาก'อันดับ4ของโลก อาวุธใหม่ศึกการค้าหรือภัยสิ่งแวดล้อม?