นายปาร์ค ชานแด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีชาวเกาหลีใต้หลายพันคนต่อปี ที่เดินทางไปกัมพูชาแล้วไม่ได้กลับบ้านเกิด พร้อมเปิดสถิติที่ชี้ให้เห็นว่า มีพลเมืองจำนวนมากขึ้นทุกปี ได้เดินทางไปทำงานกับศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา
ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ระบุว่า ในปี 2022 มีชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางไปกัมพูชาและยังไม่เดินทางกลับทั้งหมด 3,209 คน, ในปี 2023 มีทั้งหมด 2,662 คน และ ในปี 2024 อีกทั้งหมด 3,248 คน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้กระโดดสูงขึ้นหลายเท่าตัวจากปี 2021 ที่มีชาวเกาหลีใต้ตกค้างในกัมพูชาเพียง 113 คนเท่านั้น
สำหรับสถิติล่าสุดในปี 2025 นับตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคมปีนี้ มีชาวเกาหลีใต้ 67,609 คน เดินทางไปยังกัมพูชาทั้งหมด 67,609 คน ขณะที่ 66,745 คนเดินทางกลับเรียบร้อยแล้ว เท่ากับว่ายังเหลือชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชาอีก 864 คน ที่ยังไม่เดินทางกลับบ้าน
สำนักข่าวยอนฮัพของเกาหลีใต้ รายงานว่า ชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชาจำนวนมากที่ตกค้างสะสมรวม ๆ แล้วหลายพันคน ทำให้พรรคฝ่ายค้านและประชาชนบางส่วนตั้งคำถามว่า จำนวนพลเมืองที่เกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมทางไซเบอร์ในกัมพูชาอาจจะสูงกว่าที่รัฐบาลประมาณการไว้ประมาณ 1,000 คนหรือไม่
ด้านสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชาระบุว่า มีชาวเกาหลีใต้ 192,305 คนเดินทางเข้าประเทศเมื่อปีที่แล้ว แต่ตามข้อมูลของรัฐบาลเกาหลีใต้ เปิดเผยว่ามีพลเมืองที่ลงทะเบียนว่าเดินทางไปยังกัมพูชา 100,820 คน เท่านั้น ตัวเลขที่ต่างกันเกือบ 900,000 คนชี้ให้เห็นว่า อาจมีชาวเกาหลีใต้จำนวนมากเดินทางเข้ากัมพูชาผ่านประเทศที่สาม ทำให้ทางการเกาหลีใต้ไม่สามารถบันทึกตัวเลขการเดินทางออกไปกัมพูชาของคนกลุ่มนี้ได้
ข้อมูลนี้มักถูกนำมาเชื่อมโยงกับข้อสงสัยที่ว่า อาจมีชาวเกาหลีใต้จำนวนมากเข้าไปพัวพันหรือถูกหลอกให้ไปทำงานในศูนย์ปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้วิธีลักลอบเดินทางเข้ากัมพูชาอย่างลับ ๆ
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (18 ตุลาคม 68) ชาวเกาหลีใต้ 64 คน ถูกควบคุมตัวโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชา และถูกส่งตัวกลับประเทศด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากสนามบินเตโช ในกรุงพนมเปญ ไปยังสนามบินอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ พวกเขาถูกควบคุมตัวเนื่องจากมีส่วนพัวพันกับปฏิบัติการฉ้อโกงออนไลน์ (Online Scams) หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์
ทันทีที่เครื่องบินเช่าเหมาลำลงจอดที่สนามบินอินชอน ทางการเกาหลีใต้ได้ดำเนินการจับกุมตัวผู้ที่ถูกส่งกลับทั้งหมด 59 ราย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสอบปากคำ
สำนักข่าวยอนฮัพได้สัมภาษณ์คนรู้จักกับผู้ที่ถูกส่งตัวกลับเหล่านี้ โดยได้รับข้อมูลว่า จริง ๆ แล้วยังมีชาวเกาหลีใต้อย่างน้อย 2,000 ถึง 3,000 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชา ซึ่งบางส่วนลักลอบเข้ามาผ่านประเทศจีน ขณะที่ผู้ที่ถูกส่งตัวกลับอีกรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ยังมีชาวเกาหลีใต้ประมาณ 50 คนอยู่ในกลุ่มอาชญากรเดียวกับเขา
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ คิม จีนา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศลำดับสอง ของเกาหลีใต้ นำทัพเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ เดินทางลงพื้นที่ในกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2568 เพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา ในการร่วมมือกันจัดการปัญหาขบวนการหลอกลวงคนเกาหลีไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการประสานงานเพื่อสืบสวนคดีการเสียชีวิตจากการถูกทรมานของนักศึกษาชาวเกาหลีใต้
จุดที่ทำให้ความไม่พอใจของสาธารณชนปะทุขึ้นอย่างรุนแรง คือ กรณีการทรมานและสังหารนักศึกษาหนุ่มชาวเกาหลีใต้ที่ถูกล่อลวงให้ไปทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ที่กัมพูชา ข่าวนี้แพร่สะพัดในสื่อเกาหลีใต้อย่างกว้างขวาง และสร้างความสะเทือนใจในระดับประเทศ
ด้านพรรคประชาธิปไตยแห่งเกาหลี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านเดินทางไปยังกัมพูชาในช่วงเวลาเดียวกัน โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คิม บยอง-จู ได้เป็นผู้นำปฏิบัติการที่สามารถช่วยพลเมืองชาวเกาหลีใต้กลับบ้านได้ 3 คน
ก่อนหน้านั้น ส.ส. ปาร์ค ชานแด จากพรรคฝ่ายค้านก็ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเหยื่อหลายกรณี หลังจากที่เขาได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือจากครอบครัวของเหยื่อ 2 คนในเดือนกันยายน และได้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและทางการกัมพูชา จนสามารถช่วยทั้งสองคนออกมาได้อย่างปลอดภัยในเดือนตุลาคม รวมถึงในเดือนสิงหาคม เขาก็มีส่วนร่วมในการประสานงานเพื่อช่วยเหลือพลเมืองชาวเกาหลีใต้ 14 คน ออกจากศูนย์อาชญากรรมใกล้ภูเขาโบกอร์ในกัมพูชา
ส.ส. ปาร์ค ชานแด กล่าวว่า น่าจะมีชาวเกาหลีใต้ที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางไซเบอร์ในกัมพูชา มากกว่าที่หลายหน่วยงานคาดการณ์กันไว้ พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อมูลของผู้ที่ไม่ได้เดินทางกลับบ้านอย่างอย่างละเอียด