
ในปีที่บรรยากาศตลาดหุ้นไทยยังไม่เอื้อต่อการระดมทุน เพราะสภาพคล่องในตลาดมีเพียงน้อยนิด บริษัทที่จดทะเบียนเข้าระดมทุนใหม่หลาย ๆ บริษัทต้องเจอกับสภาวะที่ราคาซื้อขายในตลาดอยู่ต่ำกว่าราคาในการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ ‘หุ้นต่ำจอง’
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เคยเปิดเผยสถิติว่า ในปีนี้ หุ้น IPO ที่สามารถทำราคาปิดการซื้อขายวันแรกได้เหนือราคาจองนั้นมีเพียงครึ่งเดียว หรือประมาณ 50% และเมื่อเข้าเทรดไปนาน ๆ เข้า บริษัทที่เคยเทรดเหนือจองก็กลายเป็นเทรดต่ำจอง สะท้อนชัดถึงความฝืดของเงินในตลาด
ล่าสุด ตลาดหุ้นไทยได้ต้อนรับบริษัทใหม่ ซึ่งนับเป็นหุ้น IPO ตัวที่ 18 ของปี 2568 และเป็นหนึ่งในจำนวนครึ่งหนึ่งที่สามารถทำราคาปิดวันแรกเหนือราคาจองได้ ช่วยสร้างความคึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงปลายปี นั่นคือ บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NTF ที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยทำราคาเปิดวันแรก 8.50 บาท (+41.67% จากราคา IPO) และปิดวันแรกที่ราคา 7 บาท (+16.67% จากราคา IPO) แต่ในวันที่สองและสามของการเข้าเทรด ราคาก็ได้ปรับตัวลงจากวันแรก น่าติดตามว่าอนาคตของหุ้น IPO ตัวนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
ก่อนจะติดตามอนาคตของหุ้นตัวนี้ SPOTLIGHT ขอชวนทำความรู้จักกันว่า บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NTF น้องใหม่ตลาดหุ้นไทย ทำธุรกิจอะไร มีโครงสร้างรายได้ และแผนการขยายธุรกิจอย่างไร
บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NTF ก่อตั้งเมื่อปี 2563 โดยวิชัย ศิระมานะกุล และอิศรา ภูววิเชียรฉาย ซึ่งปัจจุบัน วิชัยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ส่วนอิศราดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO)
NTF ประกอบธุรกิจจำหน่ายผลไม้สดคัดเกรดพรีเมี่ยมสำหรับส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศตามความต้องการของลูกค้า โดยมีสินค้าทั้งทุเรียน มะพร้าว ลำไย และผลไม้อื่น ๆ ที่คัดเลือกแหล่งวัตถุดิบคุณภาพได้มาตรฐาน Food Safety และเลือกพันธมิตรโรงคัดบรรจุหรือล้งที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อบรรจุและส่งออกสินค้า
สินค้าหลักของ NTF คือ ทุเรียน โดยรายได้กว่า 96% ของ NTF มาจากการส่งออกทุเรียน โดยเป็นรายได้จากการส่งออกทุเรียนสด 90% ส่วนอีก 6% เป็นทุเรียนแช่แข็งและทุเรียนแกะเปลือก ซึ่งทุเรียนของ NTF นั้นคัดมาจากพื้นที่ปลูกทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ ทำให้มีผลผลิตทุเรียนส่งออกได้ตลอดปี
NTF ไม่ได้เป็นล้งหรือโรงคัดบรรจุผลไม้เอง แต่ทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรที่เป็นล้ง ด้วยการเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและคัดเลือกสินค้าคุณภาพในทุกขั้นตอนการผลิต การสร้างแบรนด์ และการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ
NTF ระบุว่า ทุกสินค้าของบริษัทผ่านระบบการคัดเกรดและควบคุมคุณภาพภายใต้มาตรฐานการทำงาน ‘NTF Standard’ หรือ ‘2Q2T’ (Quality – Quantity – Time – Temperature) เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถจัดหาผลไม้สดได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
ตลาดส่งออกหลักของ NTF คือ ประเทศจีน โดยมีลูกค้าหลักเป็นผู้ค้าส่งในตลาดผลไม้เมืองเซี่ยงไฮ้และเมืองกวางเจา เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ค้าผลไม้ในหลายมณฑลของประเทศจีน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 NTF มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกผลไม้กว่า 99% มาจากลูกค้าในจีนจำนวน 15 ราย
สินค้าที่ NTF จัดจำหน่ายให้กับผู้ค้าส่งในประเทศจีนนั้น มีทั้งที่จำหน่ายภายใต้แบรนด์ของ NTF ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำการตลาดให้สอดคล้องในการจำหน่ายในต่างประเทศ ได้แก่ เหม่ย ลี่ (Mei Li), ไท่ ถิง ห่าว (Tai Ting Hao), โมมันไท่ (Mo Man Tai) และ มินิ (Mini) และจำหน่ายภายใต้แบรนด์ที่พัฒนาร่วมกับลูกค้า ได้แก่ ไท่ จี๋ (Tai Ji) และ จิน เยี่ยน (Jin Yan) และแบรนด์ลูกค้าที่เป็นแบรนด์ระดับโลก อย่าง โดล (Dole)
นอกจากจีนที่เป็นตลาดหลักแล้ว NTF มีการขยายตลาดไปยังฮ่องกงและสหรัฐอเมริกาแล้ว แต่รายได้ยังเป็นสัดส่วนน้อย นอกจากนั้น NTF บอกว่า มีแผนจะขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ พร้อมกระจายความเสี่ยงด้านตลาด และต่อยอดความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง และสร้างความยั่งยืนให้กับโครงสร้างรายได้ในอนาคต
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการจัดหาและการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานผลไม้สด ทำให้ NTF มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยมีรายได้จากการขายปี 2565-2567 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 79.3% โดยแยกเป็นรายปี ดังนี้
สำหรับทั้งปีงบการเงิน 2568 NTF ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ราว 2,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 183% จากปีก่อนหน้า สอดรับกับแนวโน้มการบริโภคผลไม้คุณภาพสูงในตลาดต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
NTF มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 100 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 140 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 60 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 6 บาท ระดมทุนได้ 360 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ราว 1,200 ล้านบาท โดยราคาเสนอขายคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 5.7 เท่า จากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด ซึ่งอยู่ที่ 209.4 ล้านบาท
ส่วนนโยบายจ่ายเงินปันผลนั้น NTF โยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล
ทั้งนี้ หลัง IPO โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของ NTF ยังอยู่ในมือผู้ก่อตั้ง โดยวิชัย ศิระมานะกุล และครอบครัว ถือหุ้นประมาณ 42% อิศรา ภูววิเชียรฉาย และครอบครัว ถือหุ้น 26.55%
วิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NTF เปิดเผยว่า NTF มีเป้าหมายใช้เงินที่ได้รับจากการระดมทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องและรองรับการเติบโตในอนาคต โดยมุ่งเพิ่มปริมาณสินค้าด้วยเงินทุนหมุนเวียน รองรับกับปริมาณคำสั่งซื้อที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งลงทุนด้านเทคโนโลยีการควบคุมคุณภาพ เช่น เครื่อง CT Scan เครื่องคัดแยกน้ำหนักบรรจุ เครื่องล้างและเป่าลม เพื่อยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้มีความแม่นยำ ลดความสูญเสีย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการส่งออกสินค้าพรีเมียมให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น