วันนี้ผมอยากมาชวนคุยถึงสิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ของโลก อย่าง “ดอกเบี้ยทบต้น” กันครับ
หนึ่งในคำกล่าวที่คุ้นหูกันเป็นอย่างดีจาก Albert Einstein “Compound interest is the eighth wonder of the world. He who understands it, earns it … he who doesn’t … pays it.”
“ดอกเบี้ยทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ของโลก ใครที่เข้าใจและใช้มันเป็น ก็จะได้รับผลตอบแทน แต่ใครที่ไม่เข้าใจ ก็จะต้องเป็นฝ่ายจ่ายมันไป”
ทำไมสุดยอดอัจฉริยะของโลกจึงยกย่อง “ดอกเบี้ยทบต้น” ขนาดนี้ ผมอยากให้ลองคิดเล่นๆ ครับว่า เงินจำนวนเท่ากันที่ฝากเรื่อยๆ เดือนละ 10,000 บาท ทุกเดือน แบบไม่มีดอกเบี้ย กับการลงทุนที่มีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาแค่ 8% ต่อปี
8% ที่ดูเหมือนน้อย แต่กลับทำให้ผลลัพธ์แตกต่างกันมหาศาลเมื่อเวลาผ่านไปและเวลายิ่งนานขึ้น ผลลัพธ์ก็ยิ่งทิ้งห่างกันออกไปเรื่อยๆ นั่นคือพลังของดอกเบี้ยทบต้นครับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ดอกเบี้ยทบต้นนั้นมีพลังจริงๆ เพราะมันคือกลไกที่ทำให้เงินก้อนเล็ก ค่อยๆ งอกเงยกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ โดยปล่อยให้ ‘เวลา’ ทำงานแทนเรา
ดอกเบี้ยทบต้น คือ กลไกของดอกเบี้ยที่เราได้รับ ถูกนำกลับไปรวมกับเงินต้น แล้วกลายเป็นฐานใหม่ในการคำนวณดอกเบี้ยครั้งต่อไป ไม่ใช่แค่ได้เงินจากเงินต้นก้อนแรก แต่ได้เงินจาก ‘ดอกเบี้ยที่งอก’ ด้วย ทำให้เงินโตต่อเนื่องแบบซ้อนทับกันไปเรื่อยๆ
พูดง่ายๆ ก็คือ เงินต้นทำงานให้เราแล้วหนึ่งชั้น แต่ดอกเบี้ยที่ได้มาก็ทำงานแทนเราอีกหนึ่งชั้น กลายเป็นการทบซ้อนที่ยิ่งนานก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น เหมือนก้อนหิมะที่กลิ้งลงจากเขา ยิ่งกลิ้งนานก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่ทำให้ดอกเบี้ยทบต้นพิเศษ คือ พลังของ ‘เวลา’ เพราะเวลาคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินงอกเงยแบบก้าวกระโดด หากปล่อยไว้นานพอ เงินก้อนเล็กก็สามารถเติบโตจนกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้โดยแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเพิ่ม
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมดอกเบี้ยทบต้นจึงถูกยกย่องให้เป็นพลังมหัศจรรย์ทางการเงิน เพราะมันไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่คือกลไกจริงที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา
ลองเริ่มจากกรณีง่ายที่สุด สมมติคุณมีเงิน 10,000 บาท เอาไปฝากประจำที่ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ผ่านไป 1 ปี เงินจะกลายเป็น 10,200 บาท พอขึ้นปีถัดไป ดอกเบี้ย 2% จะถูกคิดจาก 10,200 บาท ไม่ใช่ 10,000 บาทอีกต่อไป กลายเป็น 10,404 บาท และจะค่อยๆ งอกเพิ่มทีละเล็กทีละน้อย
แต่ถ้าเปลี่ยนจากการฝากเงินเป็นการลงทุน สมมติผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8% ภาพที่ได้จะต่างออกไปมาก เงินก้อนเดียวกัน 10,000 บาท ถ้าปล่อยไว้ 10 ปีจะกลายเป็น 22,196 บาท ถ้าปล่อยต่อไป 20 ปีจะโตเป็น 49,268 บาท และถ้าไม่แตะต้องเลย 30 ปีเต็ม เงินก้อนเล็กนี้จะขยายเป็น 109,357 บาท
แต่ถ้าเราไม่ได้ปล่อยให้เงินก้อนเดียวทำงาน แต่ ‘เติมเงินเข้าไปทุกเดือน’ หรือที่เรียกว่า DCA สมมติว่าเติมเดือนละ 1,000 บาท พร้อมเงินต้นก้อนแรก 10,000 บาทที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี ตัวเลขจะเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดด
จากการคำนวณ พบว่า เงินก้อนดังกล่าวหลังผ่านไป 10 ปี จะกลายเป็น 205,142 บาท ผ่านไป 20 ปี จะเติบโตทะลุ 638,288 บาท และถ้าให้เวลาถึง 30 ปีเต็ม เงินเพียงหลักพันที่ใส่เข้าไปทุกเดือนจะงอกเงยจนกลายเป็นเงินเก็บกว่า 1,599,717 บาทเลยทีเดียว
เวลาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ดอกเบี้ยทบต้นทรงพลังขึ้นอย่างมหาศาล เพราะไม่ใช่แค่เงินต้นหรือผลตอบแทนเท่านั้นที่สำคัญ แต่ ‘จำนวนปี’ ที่ปล่อยให้เงินได้ทำงาน ก็ส่งผลต่อปลายทางอย่างมาก ลองดูตัวอย่างนี้แล้วจะเห็นภาพชัดขึ้น
สมมติ นาย A เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 22 ปี ลงเดือนละ 1,000 บาท ในพอร์ตที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี เขาใส่เงินต้นรวม 456,000 บาท แต่เมื่อถึงอายุ 60 เงินก้อนนี้จะงอกเงยกลายเป็น 2,954,310 บาท ด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่สะสมต่อเนื่อง
ในขณะที่นาย B เริ่มช้ากว่า คือเพิ่งลงทุนตอนอายุ 40 ปี ด้วยจำนวนเงินเดือนละ 1,000 บาทเท่ากัน และผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากัน เขาลงทุนได้แค่ 20 ปี รวมเงินต้น 240,000 บาท ปลายทางโตเป็นเพียง ราว 589,020 บาท เท่านั้น
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นของนาย A จากเงินต้น 456,000 โตเป็น 2,954,310 บาท เงินเพิ่มขึ้นถึง 2,498,310 บาท
ส่วนนาย B เงินต้น 240,000 บาท โตเป็น 589,020 บาท เงินเพิ่มขึ้นเพียง 349,020 บาท แม้เงินต้นจะต่างกันแค่ 216,000 บาท แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับต่างกันถึง 2,149,290 บาท
นั่นคือพลังของ ‘เวลา’ ที่คุณจะได้จากมันมากขึ้น หากคุณลงทุนได้นานมากพอ
ดอกเบี้ยทบต้นจะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อเรา ‘เริ่มต้น’ และ ‘ให้เวลา’ มันมากพอ ยิ่งลงมือเร็วเท่าไร ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เงินเล็กๆ ในวันนี้งอกเงยเป็นเงินก้อนใหญ่ในอนาคตได้ง่ายขึ้น การ ‘เริ่มเลย’ จึงสำคัญกว่าการรอให้พร้อมแล้วค่อยเริ่ม เพราะเวลาที่เสียไปอาจหมายถึงผลตอบแทนที่หายไปเช่นกัน
การเลือกเครื่องมือการลงทุนที่เหมาะสมก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญ ไม่ใช่ทุกการลงทุนจะสร้างผลลัพธ์แบบเดียวกัน หากเราเลือกช่องทางที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาวและกระจายความเสี่ยงได้ดี ก็จะช่วยให้พลังของดอกเบี้ยทบต้นทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องเฝ้าตลาดหรือปรับพอร์ตเองตลอดเวลา
และยิ่งหากเครื่องมือที่คุณเลือกเป็นสินทรัพย์ที่ดี มีการกระจายความเสี่ยงให้อย่างมีหลักการ ครอบคลุมสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ในสัดส่วนที่เหมาะสม พร้อมระบบบริหารจัดการอัตโนมัติ ก็จะสร้างความสมดุลไปพร้อมกับผลตอบแทนระยะยาวได้ คุณเองจะสบายใจที่จะปล่อยให้เงินเติบโตอย่างมีวินัยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย
เพราะสุดท้ายแล้ว พลังที่แท้จริงของดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้อยู่ที่ ‘จำนวนเงินที่เริ่มต้น’ แต่อยู่ที่ ‘ความเร็วในการลงมือ’ หากเราเริ่มวันนี้ ให้เวลาพอร์ตได้เติบโตเต็มที่ อย่างมีวินัย เงินก้อนเล็กก็มีโอกาสกลายเป็นเงินล้านได้จริง และนี่คือการใช้ดอกเบี้ยทบต้นให้เป็นพลังสร้างอนาคต
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด