ต้องยอมรับถึงบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมาซบเซาลง ด้วยหลายปัจจัยที่มากระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนเห็นได้จากการเติบโตของมูลค่าตลาดหุ้น Market Cap ไทยเทียบจีดีพีเติบโตสูงเมื่อเทียบกับอาเซียน (จาก ~20% ในปี 2543เป็น ~100% ในปี 2567) แต่ปัจจุบันปรับตัวลดลง (อยู่ที่ ~75%GDP ในครึ่งแรกของปี 2568)
ขณะที่น้ำหนักหุ้นไทยใน MSCI ก็ลดลง เช่นเดียวกับมูลค่าการระดมทุน IPO ชะลอตัวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะการ IPO จากบริษัทขนาดใหญ่และกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สถิติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ภาคตลาดทุนไม่ได้นิ่งนอนใจและในช่วงที่ที่ผ่านมาได้พยายามปรับกฎเกณฑ์ พัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ
แต่ล่าสุดถือเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลใหม่ ทำให้ 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ประกาศ 4 มาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย ภายใต้การตั้งคณะทำงาน Taskforce ขึ้นมาเพื่อพิจารณามาตรการปฏิรูปตลาดทุนไทย
มาตรการสร้างแรงจูงใจให้กับตลาดทุนไทยในวันนี้ถือเป็น Taskforce 1และในอนาคตจะมีมาตรการออกมาเพิ่มเติม เช่น ครอบคลุมถึงตลาดตราสารหนี้ หรือ หน่วยลงทุน เป็นต้น
(1)การสร้างวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวผ่านบัญชีการลงทุนส่วนบุคคล (Individual Investment Account) เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุนระยะยาวและกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย มีการขยายฐานผู้ลงทุนกลุ่มใหม่ เพิ่มการให้บริการการลงทุนในตลาดหุ้นและผลิตภัณฑ์ของบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงสร้างศูนย์รวมข้อมูลพอร์ตของผู้ลงทุน (wealth aggregator)
(2) การส่งเสริมบทบาทผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุนไทย
(1) การดึงดูดกิจการที่มีศักยภาพและคุณภาพเข้าสู่ตลาดทุนไทย
(2) การยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในปัจจุบัน ผ่านโครงการ Jump+ และ Value Up Program
(3) การปรับขั้นตอนการออกและเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ให้มีประสิทธิภาพและทำให้ตลาดทุนไทยเป็นที่น่าสนใจและสามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้ (4) การปรับปรุงเกณฑ์การเข้าถึงแหล่งระดมทุนของ SMEs และ New Economy ให้น่าสนใจ
(5) การเปิดเผยข้อมูล ESG ตามมาตรฐาน ISSB และมุ่งผลให้เกิดการปฏิบัติจริง เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนที่คำนึงถึงความรับผิดชอบด้าน ESG ในระดับสากล
(1) การสร้างความเข้มแข็งในการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนและการบังคับใช้กฎหมาย
(2) การยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (gatekeepers) เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม
(3)การใช้เทคโนโลยีเพิ่มช่องทางเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทขนาดกลางและเล็ก
(1)การเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนในการสร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย
(2)นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนของผู้ลงทุนรายย่อยและเปลี่ยนผ่านตลาดทุนสู่ตลาดทุนดิจิทัล
(3)ทบทวนหลักเกณฑ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ลงทุน
(4) การให้ผู้ลงทุนต่างประเทศสามารถใช้สิทธิ e-proxy ได้สะดวกยิ่งขึ้น
ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต.ระบุว่า มาตรการเหล่านี้จะเป็น Quick Big Win สำหรับตลาดทุนไทย คาดหวังให้สามารถดำเนินการเป็นรูปธรรมได้ภายใน 4 เดือน ส่วนผลของมาตรการเชื่อว่าจะทยอยออกมาเพราะมาตรการเหล่านี้มีผลต่อตลาดทุนในระยะยาว ความร่วมมือของ4หน่วยงานในครั้งนี้เชื่อมั่นว่าเป็นการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ ในระยะถัดไป ก.ล.ต. จะเดินหน้าพัฒนาตลาดทุนในส่วนอื่น ทั้งตลาดตราสารหนี้ หน่วยลงทุน ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านตลาดทุนสู่ตลาดทุนดิจิทัล โดยจะมีการจัดตั้งคณะทำงานชุดอื่นเพิ่มเติมต่อไป ซึ่ง ก.ล.ต. พร้อมทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า ความร่วมมือของคณะทำงาน Taskforce ครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และความน่าสนใจของตลาดทุนไทย ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมผลักดันมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทยอย่างเต็มที่ อาทิ
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เน้นไปที่การสร้าง Quality Demand เพราะตลาดทุนไทยมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากแต่อยากให้มีคุณภาพโดยมุ่งเน้นผลักดันมาตรการสำคัญคือ TISA (Thailand Individual Savings Account) หรือ บัญชีการลงทุนส่วนบุคคล ซึ่งมาตรการที่กำลังจะออกมานี้ถือเป็นการปฏิรูปการออมครั้งใหญ่ของประเทศไทยเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์สังคมสูงวัย โดยเสนอการออมครั้งใหญ่ 3 Pillars ที่สำคัญ
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอในการฟื้นการออมและการลงทุนเพิ่มขึ้น เช่นพิจารณาฟื้น SSF เพื่อให้เหมาะกับกลุ่มผู้ลงทุนคนรุ่นใหม่ ซึ่งรายละเอียดสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้จะมีการปรึกษากับทางการกระทรวงการคลังต่อไป และคาดว่าความชัดเจนของมาตรการจะออกมาในเร็วๆนี้
ทั้งนี้มาตรการสร้างเสน่ห์ให้กับตลาดทุนไทยที่จะทยอยออกมา มีผลทำให้คาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยในช่วงปลายปี 2568 อยู่ที่ระดับประมาณ 1,415 จุดทำให้ Sentiment ดีขึ้น
ดร.กอบศักดิ์ ยังได้พูดถึงตลาดทุนไทยยังอยู่ในเรดาร์ของธุรกิจยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศด้วย ที่ขณะนี้มีความสนใจอยากจะเข้ามาระดมทุนในตลาดทุนไทย เช่น กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า ที่อยากจะเข้ามาตั้งโรงงานการผลิตในไทย ตั้งศูนย์วิจัยพัฒนาในไทย รวมทั้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยด้วย ซึ่งหากบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามากกว่าหมื่นล้านเข้ามาในตลาดทุนไทย จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและเสน่ห์ของตลาดทุนไทยแน่นอน และเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขึ้นได้และ GDP โตได้ถึง 3% ไม่เกินปี 2571
ด้าน ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค. กล่าวว่า “ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทยนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเสริมสร้างศักยภาพให้ตลาดทุนไทยมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เพราะเมื่อตลาดทุนสามารถดึงดูดธุรกิจที่มีศักยภาพให้เข้ามาระดมทุน จะช่วยเพิ่มโอกาสของประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเพิ่มจำนวนนักลงทุนในตลาดมากขึ้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้ยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2565 – 2570) ที่หน่วยงานด้านตลาดทุนได้ดำเนินการมาโดยตลอด และขณะเดียวกันก็ถือเป็นมาตรการ Quick Win ที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ในระยะสั้น แต่ส่งผลต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจด้านนโยบายเศรษฐกิจของประเทศพร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการกับทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันและสานต่อมาตรการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม