
ธนาคารกลางของไทยกำลังเผชิญแรงกดดันสำคัญ หลังค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเกือบ 6% ตั้งแต่ต้นปี ทำให้เงินบาทกลายเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวกำลังส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งการท่องเที่ยวที่แข่งขันด้วยต้นทุนสูงขึ้น ภาคส่งออกที่ถูกบั่นทอนจากราคาสินค้าที่แพงขึ้นในตลาดโลก ไปจนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เริ่มสั่นคลอน
ภายใต้สภาวการณ์ดังกล่าว นักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ปจึงคาดการณ์ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งต่อไปในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ อาจไม่ได้เป็นเพียงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในกรอบปกติ แต่มีโอกาสที่จะเกิดการ “หั่นดอกเบี้ยแรง” ซึ่งจะสะท้อนถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา
Rohit Garg และ Gordon Goh นักวิเคราะห์จาก Citi ระบุในรายงานว่า ความเข้มข้นของถ้อยคำแทรกแซงที่ธนาคารกลางใช้ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่ามีแนวโน้มสูงที่ผู้กำหนดนโยบายจะเร่งดำเนินการในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยประเมินว่าแม้ในการประชุมครั้งนี้ กนง.อาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 จุดพื้นฐานตามกรอบปกติ แต่ก็ย้ำว่าก็มีโอกาสที่สุดท้ายกนง. จะตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยมากกว่านั้นเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว การบริโภคในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และแรงกดดันจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ทำให้การส่งออกไทยเผชิญต้นทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในด้านนโยบายการเงิน ธปท. เพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 1.50% เมื่อเดือนสิงหาคม เพื่อบรรเทาความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจ โดยรายงาน Monetary Policy Report ไตรมาส 2/2568 ระบุว่า GDP ปี 2568 น่าจะขยายตัวได้เพียง 2.3% ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า
ปัจจัยลบหลักได้แก่การชะลอตัวของจีนที่เป็นตลาดส่งออกและเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของไทย ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่กดดันสินค้าไทย และการบริโภคในประเทศที่ยังไม่สามารถสร้างแรงขับเคลื่อนแทนภายนอกได้เต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น Fitch Ratings ได้ปรับแนวโน้มความน่าเชื่อถือของไทยจาก “คงที่” เป็น “ลบ” ในเดือนกันยายน ซึ่งสะท้อนความกังวลด้านเสถียรภาพการคลังและความเสี่ยงเชิงโครงสร้างในระยะยาว
แรงกดดันเหล่านี้เปิดพื้นที่ให้ธปท. มี “ความชอบธรรม” มากขึ้นในการใช้นโยบายผ่อนคลายเพิ่มเติม โดยไม่เพียงเพื่อควบคุมค่าเงินบาท แต่ยังเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่กำลังเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การประชุมครั้งนี้ถูกจับตาอย่างยิ่งคือการปรากฏตัวครั้งแรกของ นายวิทัย รัตนากร ในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ นายวิทัยถูกมองว่าเป็นผู้บริหารที่เปิดกว้างต่อการใช้นโยบายที่ยืดหยุ่น และพร้อมจะใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างหลากหลายเพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ การตัดสินใจครั้งแรกของเขาในฐานะประธานการประชุม กนง. จึงมีน้ำหนักทั้งเชิงสัญลักษณ์และเชิงนโยบาย
ในเชิงการเมือง นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นเดือน ได้ประกาศเดินหน้ามาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาความแข็งค่าของเงินบาท ทั้งการสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์เร่งเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ การตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อดูแลค่าเงิน และการสื่อสารตรงกับนักลงทุนต่างชาติว่ารัฐบาลพร้อมจะปกป้องความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มาตรการเหล่านี้สะท้อนว่ารัฐบาลตระหนักถึงความเปราะบางที่ค่าเงินบาทแข็งค่ากำลังก่อขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังไม่สามารถสร้างรายได้ชดเชยการส่งออกได้เต็มที่
ทั้งหมดนี้ทำให้การประชุม กนง. วันที่ 8 ตุลาคม ถูกมองว่าเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของนโยบายการเงินไทยในปี 2568 การตัดสินใจว่าจะลดดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อยหรือหั่นแรงเกินคาด อาจไม่เพียงสะท้อนทิศทางเศรษฐกิจในปีนี้ แต่ยังส่งสัญญาณสำคัญถึงตลาดโลกว่าไทยพร้อมเดินหน้าในเส้นทางการเงินแบบใดในระยะยาว