
การประชุม COP30 หรือการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยสหประชาชาติ (United Nations: UN) ไม่ใช่แค่การรวมตัวรัฐบาลจากประเทศสมาชิก UN และตัวแทนองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังมีนักสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก ที่หลายส่วนมาในรูปแบบของการประท้วงงาน COP30 ครั้งนี้นี่เอง
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 ขณะที่งานประชุม COP30 เดินทางมาได้ครึ่งทาง (จัดระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน 2568) นักสิ่งแวดล้อมหลายพันคนรวมตัวกันในเมืองเบเลง ประเทศบราซิล เมืองที่จัดงานประชุม COP ในปีนี้
ขบวนผู้ประท้วงเรียกร้องให้มีการดำเนินการปกป้องสิ่งแวดล้อมโลกอย่างจริงจังยิ่งขึ้น และประกาศความโกรธเกรี้ยวของพวกเขาต่อรัฐบาลและบริษัทต่าง ๆ ที่ใช้พลังงานฟอสซิล อย่างน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ขบวนผู้ประท้วงประกอบด้วยกลุ่มคนหลากหลาย ทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ คนหนุ่มสาว กลุ่มประชาสังคม และอื่น ๆ ต่างมารวมตัวภายใต้อากาศที่มีอุณหภูมิราว 30 องศาเซลเซียส แต่เมื่อบวกความชื้นเข้าไปแล้ว จะรู้สึกร้อนราวกับ 35 องศาเซลเซียสทีเดียว พวกเขาทำการแสดงอย่างสงบ ร้องเพลง เต้นรำ โบกธงที่ประทับข้อเรียกร้องต่าง ๆ มีป้าย 3 ป้ายขนาดใหญ่โบกเด่นเขียนว่า “น้ำมัน”, “ถ่าน”, และ “ก๊าซ” ขนาบข้างด้วยคนแต่งตัวเป็นมัจจุราช 2 ตน กลุ่มประชาชนคนชาติพันธุ์พาป้ายขนาดใหญ่เขียนว่า “พวกเราคือคำตอบ” เคียงข้างช้าง และงูอนาคอนดาเป่าโลมโบกสะพัดอยู่เหนือกลุ่มผู้ประท้วง
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 ที่มีการอนุญาตให้ผู้ประท้วงมาชุมนุมกันได้ภายนอกบริเวณจัดงาน COP โดยการประท้วงระหว่างปี 2022-2024 นั้นไม่สามารถทำได้ในพื้นที่สาธารณะ
ผู้เข้าร่วมการชุมนุมรายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับ BBC เธอมีชื่อว่า ทูกา ซินเทีย เป็นสมาชิกกลุ่ม Theatre Group Hydra Dance จาก the Federal University of Pará
“ฉันมาประท้วงเพราะว่าต้องพอได้แล้วกับการประชุม COP และทฤษฎี ถึงเวลาต้องลงมือทำอะไรจริง ๆ แล้ว [...] เรากำลังจัดงานศพให้เชื้อเพลิงฟอสซิล” เธอกล่าวถึงการแสดงของกลุ่ม ที่สมาชิกแต่งกายสีดำ พร้อมมีรูปหุ่นหัวกะโหลก สวมใส่ผ้าคลุมดำ เป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงการต่อต้านเชื้อเพลิงฟอสซิล
อีกคนที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC คือ บริแอน ฟรูเอน นักสิ่งแวดล้อมจากประเทศซามัว ประเทศเกาะต่ำที่มีความเปราะบางสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนับว่าเป็นประเทศที่เสี่ยงอันดับต้น ๆ ต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล
“ตอนนี้ยังเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลกันอยู่เลย เรารู้ดีว่าการต้องอยู่แนวหน้าในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างไร”
การประท้วงยังคงดำเนินต่อไปในเบเลง นักสิ่งแวดล้อมจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้าเมืองด้วยวิธีการต่าง ๆ หลายคนล่องเรือมาตามแม่น้ำแอมะซอน เมื่อวันพุธที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมามีเรือกว่า 100 ลำ (กรีนพีซรายงานว่ามีผู้เข้าร่วม 5,000 คนบนเรือ 200 ลำ และกรีนพีซได้เข้าร่วมขบวนเรือด้วย ด้วยเรือประดับสายรุ้ง) แล่นเป็นขบวนเรือประท้วงใกล้อ่าว Guajará ใกล้กับมหาวิทยาลัย Federal University of Pará ที่ซึ่งได้กลายเป็น “งานประชุมประชาชน” ที่จัดขึ้นเคียงคู่กับ COP30
การประชุมภาคประชาชนมีตัวแทนจากกว่า 60 ประเทศเข้าร่วม เพื่อสะท้อนความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมและชนพื้นเมือง ต่อต้านแนวทางการแก้ปัญหาที่พวกเขากล่าวว่าไม่ถูกต้อง อาทิ Carbon Market และส่งเสียงว่า การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะไม่ได้เกิดจากบริษัทและกลุ่มทุนขนาดใหญ่ แต่จากแนวทางการปฏิบัติของคนท้องถิ่น ผู้อยู่อาศัยชายฝั่ง และแนวทางดั้งเดิมของชนพื้นเมืองที่สืบต่อกันมา
เมื่อวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2568 กลุ่มผู้ชุมนุมขวางทางเข้าประชุมงาน COP30 อยู่หลายชั่วโมง ส่งสารความทุกข์ยากของชนพื้นเมืองต่อประธานาธิบดีบราซิล ลูอีซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา กลุ่มต้องการเข้าพูดคุยกับประธานาธิบดีโดยตรง ตัวแทนคนหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าว The Guardian ว่า
“เราต้องการให้ประธานาธิบดีลูลามาปรากฏตัว แต่เสียดายที่ไม่สามารถทำได้ เหมือนทุกครั้งนั่นล่ะ เราถูกห้ามมาตลอด ไม่มีใครรับฟังเราเลย”
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเรียกร้องจากกลุ่มชนพื้นเมืองหลากหลาย ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกร้องสิทธิในการถือครองที่ดิน อันเป็นปัญหาในกลุ่มชาติพันธุ์หลายเชื้อชาติในแถบอเมริกาใต้ บ้างถือป้ายที่เขียนเอาไว้ว่า “แบ่งที่ดินเดี๋ยวนี้” เพื่อให้ประชาชนชาติพันธุ์สามารถเป็นเจ้าของดินแดนของตัวเองได้ ผู้เชี่ยวชาญหลายรายยกย่องกลุ่มชาติพันธุ์หลายร้อยกลุ่มที่อาศัยในพื้นที่ป่าแอมะซอนว่า เป็นผู้พิทักษ์ความหลากหลายของป่า
ด้านอานา โทนี ผู้อำนวยการงาน COP30 ยืนยันว่า การประชุมครั้งนี้ฟังเสียงของชนพื้นเมือง โดยกล่าวว่า ครั้งนี้มีคนพื้นเมืองเข้าร่วมการประชุมถึง 900 คน ซึ่งมากกว่าจำนวนในปีก่อน ณ งานประชุม COP29 ที่อาเซอร์ไบจาน ซึ่งมีชนพื้นเมือง-กลุ่มชาติพันธุ์เข้าร่วมเพียง 300 คน
“บราซิลมีประชาธิปไตยเข้มแข็ง ซึ่งอนุญาตให้มีการประท้วงได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งในและนอกงานประชุม” อานากล่าว ทั้งยังย้ำว่า สาเหตุที่จัดงานใจกลางป่าแอมะซอน ก็เพื่อให้เสียงของกลุ่มชาติพันธุ์ได้ถูกรับฟัง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มชาติพันธุ์บางส่วนยังรู้สึกว่าเสียงของพวกเขายังไม่ดังมากพอ และออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับการตัดป่า การปกป้องที่ดิน การสกัดทรัพยากรในพื้นที่อยู่อาศัยของพวกเขา
เลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส กล่าวว่า การประชุมต้องการเสียงของชนพื้นเมืองเพื่อถ่วงดุลกับเสียงของล็อบบี้ยิสต์ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในการประชุมครั้งหลัง ๆ ที่ผ่านมา
ตามข้อมูลจากกลุ่มพันธมิตร Kick Big Polluters Out จากผู้เข้าร่วมมากกว่า 56,000 คนปีนี้ 1 คนในทุก 25 คน เป็นล็อบบี้ยิสต์ธุรกิจเชื้อเพลิงฟอสซิล
การวิเคราะห์ของกลุ่มที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนชี้ว่า มีกลุ่มทุนเชื้อเพลิงฟอสซิลกว่า 1,600 คนได้รับทุนสนับสนุนให้เข้าร่วมงานประชุมสิ่งแวดล้อมครั้งนี้ โดยตัวเลขล็อบบี้ยิสต์ที่เข้าร่วมในปีนี้สูงกว่าปีก่อนถึง 12% แม้ว่าจำนวนผู้เข้าร่วมรวมจะลดลง ทั้งยังมากกว่าจำนวนตัวแทนรัฐบาลแต่ละประเทศอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ฟิลิปปินส์ มีล็อบบี้ยิสต์เข้าร่วมมากกว่าตัวแทนประเทศถึง 50:1
ดังนั้น ปี 2025 จึงเป็นปีที่มีสัดส่วนล็อบบี้ยิสต์เชื้อเพลิงฟอสซิลต่อผู้เข้าร่วมที่สูงที่สุดในงานประชุม COP ตั้งแต่มีการจัดงานมา
สมาคมการค้าหลัก ๆ ยังคงเป็นช่องทางหลักให้อิทธิพลของล็อบบี้ยิสต์ โดยมี the International Emissions Trading Association เป็นองค์กรหลัก พาตัวแทนบริษัทใหญ่ด้านน้ำมันเข้าร่วมอาทิ ExxonMobil, BP, และ TotalEnergies
KBPO ชี้ว่า ตัวแทนบริษัทใหญ่เหล่านี้ แผ่อิทธิพลเข้าไปในการเจรจาด้านสิ่งแวดล้อมได้ผ่านวิธีหลังม่าน ด้วยการถือบัตรสมาชิกพรรคที่มีอยู่มากมาย ทำให้ล็อบบี้ยิสต์ถึง 599 คนสามารถเข้าไปในวงในของการเจรจาได้
ตัวอย่างล็อบบี้ยิสต์ที่เข้าร่วมในครั้งนี้อาทิ ล็อบบี้ยิสต์จากฝรั่งเศส 22 คน ซึ่งมาจาก TotalEnergies 5 คน รวมถึงตัว CEO ของบริษัท Patrick Pouyanné ด้านญี่ปุ่นไม่น้อยหน้า พาล็อบบี้ยิสต์มาถึง 33 คน รวมไปถึงตัวแทนจาก Mitsubishi Heavy Industries และ Osaka Gas นอร์เวย์พาล็อบบี้ยิสต์มา 17 คน 6 คนในนั้นคือผู้บริหารจาก Equinor บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติประจำชาติ
แจ็ก บองกอน จากกลุ่ม IBON International กล่าวถึงการจัดประชุมด้านวิกฤตสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุด ที่แม้จัดกันมานานกว่า 3 ทศวรรษ ที่จำนวนล็อบบี้ยิสต์จากอุตสาหกรรมที่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมยังคงทรงอิทธิพลในเวทีการประชุม
“เป็นที่รู้กันทั่วไปนะว่า คุณแก้ปัญหาไม่ได้หรอก ถ้าให้อำนาจกับคนที่สร้างปัญหานั้นขึ้นมา [...] น่าหงุดหงิดที่เห็นอิทธิพลคนพวกนี้มากขึ้นทุกปี ทำให้กระบวนการ และความทุกข์ของชุมชนกลายเป็นเรื่องตลก”
การประท้วงจากกลุ่มต่าง ๆ ในภาพรวมยังดำเนินไปอย่างสันติ และสนุกสนาน มีศิลปินชาวบราซิลมาร่วมการแสดง หนึ่งในข้อเรียกร้องหลักของภาคประชาสังคมปีนี้คือ ขอให้มีการตั้งองค์กรใหม่ในชื่อ กลไกดำเนินการเบเลง (Belém Action Mechanism: Bam) ที่จะช่วยเร่งรัด ประสานงาน และสนับสนุน “การเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรม” ไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และ “กำหนดทิศทางระบบระหว่างประเทศทั้งหมดให้สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านที่เน้นที่ประชาชนในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ”