
เศรษฐกิจไทยสะดุดแรงในไตรมาส 3 ปี 2568 GDP โตได้เพียง 1.2% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี และรั้งท้ายกลุ่มเศรษฐกิจใหญ่ของอาเซียน ท่ามกลางภาคการผลิตที่หดตัวและการส่งออกที่สะดุดต่อเนื่อง ภาพรวมที่ซบเซานี้ทำให้สศช. ปรับเป้าการเติบโตทั้งปีเหลือเพียงราว 2% สะท้อนสัญญาณชัดเจนว่าเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถเร่งรอบได้ในจังหวะที่ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งเริ่มกลับมาฟื้นตัว
ในวันนี้ (17 พฤศจิกายน 2568) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 พร้อมประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2568–2569 โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสล่าสุดขยายตัวเพียง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ชะลอลงจาก 2.8% ในไตรมาสสอง และถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสกรกฎาคม–กันยายน 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจยังเผชิญแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ปัจจัยฉุดรั้งสำคัญมาจากภาคการผลิตที่หดตัว 1.6% เมื่อเทียบปีต่อปี หลังจากเติบโต 1.7% ในไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบหกไตรมาส อุตสาหกรรมหลักอย่างยานยนต์ เครื่องจักร และผลิตภัณฑ์ยางต่างมีปริมาณการผลิตลดลงชัดเจน สะท้อนคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่อ่อนแรงลงต่อเนื่อง
ด้านอุปสงค์ภายนอก การส่งออกสินค้าและบริการก็ชะลอตัวเช่นกัน โดยเติบโต 6.9% ในไตรมาสสาม ลดลงจาก 11.2% ในไตรมาสก่อน การส่งออกคอมพิวเตอร์และสินค้าการผลิตอื่นลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ภาคท่องเที่ยวเริ่มลดความร้อนแรงหลังฟื้นตัวได้ช่วงหนึ่ง นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ สศช. ระบุว่า “การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงเพราะการส่งออกชะลอตัวจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ” ซึ่งทำให้สินค้าไทยหลายกลุ่มเสียความได้เปรียบด้านราคาในตลาดสำคัญ
สศช. คาดว่า GDP ทั้งปี 2568 จะขยายตัวเพียง 2.0% ลดลงจาก 2.5% ในปี 2567 พร้อมประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2569 จะเติบโตในกรอบ 1.2%–2.2% และเตือนว่าการส่งออกอาจหดตัวราว 0.3% ในปีหน้า จากผลสะสมของมาตรการภาษี แม้ว่าปีนี้การส่งออกจะยังถูกคาดหมายให้เติบโตสูงถึง 11.2% ก็ตาม
ด้านเศรษฐกิจของประเทศอื่นในภูมิภาคพบสัญญาณชะลอตัวเช่นกัน โดยสิงคโปร์ขยายตัวเพียง 0.0% ในไตรมาสสาม ลดลงจาก 5.0% ในไตรมาสก่อน เนื่องจากภาคการผลิตชะลอตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ GDP โดยรวมเพิ่มขึ้นเพียง 2.9% จากระดับ 4.5% ตามประมาณการเบื้องต้นของรัฐบาล สาเหตุหลักมาจากกำลังการผลิตที่ลดลงในภาคชีวการแพทย์และการผลิตทั่วไป ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ การเติบโตของ GDP ในไตรมาสสามต่างได้รับผลจากการบริโภคภาคเอกชนที่อ่อนแรงลงอย่างชัดเจน สำหรับอินโดนีเซีย การบริโภคครัวเรือนซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจเติบโตเพียง 4.89% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเจ็ดไตรมาส ส่งผลให้ GDP เติบโต 5.04% ลดลงจาก 5.12% ในไตรมาสก่อนหน้า
ฟิลิปปินส์มีแนวโน้มคล้ายกัน โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัว 4.1% ชะลอลงจาก 5.3% ในไตรมาสก่อน ซันนี หลิว นักเศรษฐศาสตร์จาก Oxford Economics ระบุว่า “การบริโภคภาคครัวเรือนซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนคิดเป็นราว 70% ของ GDP ของฟิลิปปินส์เริ่มสูญเสียแรงส่งในไตรมาสสาม” แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับต่ำก็ตาม ปัจจัยลบอื่น เช่น พายุไต้ฝุ่นหลายลูกที่ถล่มประเทศระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน และคดีคอร์รัปชันเชิงโครงสร้างในโครงการควบคุมน้ำท่วม ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุน ทำให้ GDP ชะลอลงเหลือ 4.0% จาก 5.5%
ทั้งนี้ มาเลเซียกลับมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น โดย GDP ขยายตัว 5.2% ในไตรมาสสาม จาก 4.4% ในไตรมาสสอง การส่งออกสุทธิกลับมาเป็นบวกตามการฟื้นตัวของภาคเหมืองแร่ แม้ว่าการบริโภคเอกชนจะชะลอลงเล็กน้อยเหลือ 5.0% จาก 5.3% ผู้ว่าการธนาคารกลางมาเลเซีย อับดุล ราชิด ฆอฟฟูร์ ระบุว่าการใช้จ่ายของครัวเรือนยังคง “มีความยืดหยุ่น” โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการจ้างงานและค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการของรัฐที่ช่วยประคับประคองกำลังซื้อประชาชน
ขณะเดียวกัน เวียดนามกลับเป็นประเทศที่เติบโตโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค โดย GDP ขยายตัวเพิ่มเป็น 8.2% ในไตรมาสสาม จาก 8.0% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้แรงหนุนจากภาคการผลิต การก่อสร้าง และบริการที่เติบโตแข็งแกร่ง ชีวาน ทันดอน นักเศรษฐศาสตร์ตลาดเกิดใหม่จาก Capital Economics มองว่าเศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปีหน้า แม้ต้องเผชิญความไม่แน่นอนด้านการค้าโลก พร้อมชี้ว่าประเทศอื่นในภูมิภาคต่างได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีของสหรัฐฯ เช่นกัน “ดังนั้นเวียดนามจึงไม่น่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ”
ในวันนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่สามของปี 2568 พร้อมประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2568-2569 โดยข้อมูลสะท้อนภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงทั้งด้านอุปสงค์ในประเทศ ภาคการผลิต และภาคต่างประเทศ
GDP ไตรมาสสามขยายตัวเพียง 1.2% ลดลงจาก 2.8% ในไตรมาสที่สอง และหดตัว 0.6% เมื่อปรับผลฤดูกาล (%QoQ_SA) ทำให้ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 เศรษฐกิจขยายตัว 2.4% เท่านั้น
ด้านการใช้จ่าย เศรษฐกิจยังพึ่งพากำลังซื้อภาคเอกชนเป็นหลัก โดยการอุปโภคบริโภคและการลงทุนเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ภาครัฐหดตัวทั้งการใช้จ่ายและการลงทุน การส่งออกสินค้าชะลอลงตามภาวะต่างประเทศและผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่บริการท่องเที่ยวและการขนส่งบางประเภทอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด
การบริโภคเอกชนเพิ่มขึ้น 2.6% เป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน โดยมีแรงหนุนจากการใช้จ่ายในทุกหมวด สินค้าไม่คงทนเพิ่มขึ้น 3.0% โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าคงทนเพิ่มขึ้น 5.5% จากยอดซื้อยานพาหนะที่เพิ่มสูงถึง 14.0% ขณะที่บริการขยายตัว 2.2% ตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายโรงแรม ภัตตาคาร และบริการด้านสุขภาพ
หมวดสินค้ากึ่งคงทนเพิ่มขึ้นเพียง 0.9% ลดลงจากไตรมาสก่อน สอดคล้องกับยอดใช้จ่ายหมวดเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องเขียนที่อ่อนกำลังลง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมลดลงมาอยู่ที่ระดับ 44.7 จาก 48.0 สะท้อนความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ
การใช้จ่ายภาครัฐหดตัว 3.9% จากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 2.2% ค่าซื้อสินค้าและบริการ รายจ่ายสวัสดิการที่ไม่เป็นตัวเงิน และค่าตอบแทนแรงงานต่างลดลง โดยอัตราเบิกจ่ายงบประจำอยู่ที่ 20.2% ต่ำกว่าช่วงไตรมาสก่อน รวม 9 เดือนแรกของปี การบริโภคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัว 2.6% และ 0.3% ตามลำดับ
การลงทุนรวมเติบโตเพียง 1.1% ลดลงจาก 5.8% ในไตรมาสก่อน การลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัว 4.2% ขับเคลื่อนโดยหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้น 5.5% แม้การลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนลดลง 0.6% ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง
การลงทุนภาครัฐลดลง 5.3% เป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส โดยการก่อสร้างภาครัฐลดลง 6.6% ขณะที่หมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังเพิ่มขึ้น 1.0% อัตราเบิกจ่ายงบลงทุนอยู่ที่ 20.5% แม้สูงกว่าไตรมาสก่อน แต่ยังต่ำกว่าปีก่อน รวม 9 เดือนแรก การลงทุนรวมขยายตัว 3.7% โดยเอกชนเพิ่มขึ้น 2.3% และภาครัฐเพิ่มขึ้น 7.7%
การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 86,196 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11.5% แต่ชะลอลงจากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ส่งผลให้ดัชนีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นเพียง 10.9% เทียบกับ 14.5% ในไตรมาสก่อน รวมทั้งการชะลอตัวของอุปสงค์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์
แม้สินค้าบางกลุ่มยังขยายตัวแรง เช่น คอมพิวเตอร์ (125.0%) อุปกรณ์สื่อสาร (55.2%) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (31.7%) เครื่องประดับ และเครื่องจักร แต่หลายสินค้าหลักหดตัวทั้งข้าว ยาง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ และสิ่งทอ การส่งออกสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรปยังเติบโตดี ส่วนตลาดเกาหลีใต้และออสเตรเลียปรับลดลง
การนำเข้าสินค้ามูลค่า 79,231 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12.2% แม้ชะลอจากไตรมาสก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลเพิ่มขึ้นเป็น 7.0 พันล้านดอลลาร์ รวม 9 เดือนแรก การค้าเกินดุล 20.4 พันล้านดอลลาร์
ภาคการผลิตหลายสาขาเผชิญแรงกดดัน สาขาเกษตรกรรมขยายตัว 1.9% ชะลอลงจาก 6.4% ตามการลดลงของผลผลิตพืชสำคัญ เช่น ข้าวเปลือก กลุ่มไม้ผล และปาล์มน้ำมัน แม้หมวดปศุสัตว์จะเพิ่มขึ้นตามผลผลิตสุกรและไก่เนื้อ ดัชนีราคาสินค้าเกษตรลดลง 12.8% ส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดลง 11.4%
สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมลดลง 1.6% เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส สาเหตุบางส่วนมาจากการปิดซ่อมโรงกลั่น และการหยุดผลิตเพื่อย้ายฐานการผลิตยานยนต์ไปภาคตะวันออก ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลง 2.4% และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยลดลงอยู่ที่เพียง 57.39% ต่ำที่สุดในรอบ 21 ไตรมาส
สาขาที่พักแรมและบริการอาหารขยายตัวเพียง 0.8% ลดลงจากไตรมาสก่อนตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ลดลง 13.5% รายรับด้านการท่องเที่ยวรวมลดลง 2.3% และอัตราเข้าพักเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 67.40%
สาขาการขายส่งและการขายปลีกเพิ่มขึ้น 6.5% ตามยอดจำหน่ายยานยนต์ที่ฟื้นตัว สาขาการขนส่งเติบโต 3.0% ชะลอลงจากไตรมาสก่อน โดยบริการขนส่งทางน้ำลดลง ขณะที่บริการขนส่งทางบกและสนับสนุนยังขยายตัว
สาขาการก่อสร้างหดตัว 4.0% เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส จากการลดลงของการก่อสร้างภาครัฐและภาคเอกชน แม้การก่อสร้างอาคารอุตสาหกรรมบางส่วนเพิ่มขึ้น รวม 9 เดือนแรก การก่อสร้างภาครัฐเพิ่มขึ้น 10.2% แต่ภาคเอกชนลดลง 2.0%
เสถียรภาพเศรษฐกิจ
อัตราว่างงานลดลงเหลือ 0.76% ต่ำกว่าทั้งไตรมาสก่อนและปีก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองอยู่ที่ -0.7% เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.8% ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.7 พันล้านดอลลาร์ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 262.4 พันล้านดอลลาร์ และหนี้สาธารณะอยู่ที่ 64.8% ของจีดีพี
ภาพรวมข้อมูลสะท้อนการฟื้นตัวที่เปราะบาง แม้ภาคเอกชนยังช่วยพยุงเศรษฐกิจ แต่หลายสัญญาณชี้ว่าความเสี่ยงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันการค้าและการชะลอตัวของการท่องเที่ยว อาจเป็นแรงกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีและปีหน้า
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.0% ชะลอลงจาก 2.5% ในปี 2567 สะท้อนการฟื้นตัวที่ยังไม่ทั่วถึงในหลายภาคส่วน ทั้งจากกำลังซื้อในประเทศที่ยังอ่อนแรงและแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกที่ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยคาดอยู่ที่ -0.2% แสดงถึงภาวะราคาที่ทรงตัวหรือลดลงในบางหมวดสินค้า ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุล 2.8% ของ GDP จากรายรับการท่องเที่ยวที่ยังเป็นแรงหนุนสำคัญและการนำเข้าที่ขยายตัวในอัตราชะลอลง
ด้านเศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1.2–2.2% โดยมีค่ากลาง 1.7% โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายของภาครัฐ การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว และผลผลิตทางการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น ภายใต้สมมติฐานว่าสภาวะเศรษฐกิจมหภาคและการเมืองมีเสถียรภาพเพียงพอ
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจปี 2569 ยังเผชิญข้อจำกัดสำคัญ ได้แก่ มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ความชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ภาระหนี้สินภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูง ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก และบรรยากาศทางเศรษฐกิจ–การเมืองก่อนและหลังการเลือกตั้ง
ในกรณีฐาน คาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 2.1% การลงทุนภาคเอกชน 0.9% ขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 0.3% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยคาดอยู่ระหว่าง 0.0–1.0% และดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 2.4% ของ GDP