
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมายืนยันความมั่นคงของระบบยืนยันตัวตนลูกค้าภายหลังเกิดกระแสข่าวจับกุมชาวจีน 4 คนที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างวิดีโอปลอมจากภาพนิ่งของเหยื่อเพื่อหลอกระบบยืนยันตัวตนของธนาคาร โดย ธปท. ชี้แจงว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในระบบของแอปพลิเคชันจีน ไม่เกี่ยวข้องกับระบบธนาคารในประเทศไทย พร้อมย้ำว่าระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าที่ใช้ในธนาคารพาณิชย์ของไทยถูกออกแบบให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง และมีการป้องกันการปลอมแปลงอย่างรัดกุมทุกขั้นตอน
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงกรณีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชาวจีน 4 คน ที่ใช้เทคโนโลยี AI สร้างคลิปวิดีโอปลอมจากภาพถ่ายของเหยื่อ เพื่อพยายามหลอกระบบยืนยันตัวตนของธนาคาร โดยระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการทดสอบระบบยืนยันตัวตนของกลุ่มมิจฉาชีพชาวจีน ซึ่งใช้ข้อมูลและแอปพลิเคชันของจีนเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบของธนาคารในประเทศไทย
นางสาวดารณี ย้ำว่า ระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าที่ใช้ในธนาคารพาณิชย์ของไทย มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและออกแบบมาเพื่อป้องกันการปลอมแปลง ไม่ว่าจะเป็นจากภาพนิ่งหรือวิดีโอ โดยแต่ละธนาคารต้องผ่านกระบวนการทดสอบด้านความแม่นยำและความปลอดภัยต่อการโจมตีในหลายรูปแบบ ก่อนจะอนุญาตให้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้จริง
นอกจากนี้ ศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ภาคการธนาคาร (TB-CERT) ภายใต้สมาคมธนาคารไทย ยังติดตามความเคลื่อนไหวของภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่อย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมที่น่าสงสัยหรือแนวโน้มความเสี่ยง ก็จะเร่งดำเนินการวิเคราะห์และออกมาตรการป้องกันในทันที เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลของไทย
เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งระดมกำลังจากหลายหน่วย ทั้ง ศอ.ปส. บช.น., บก.สส.บช.น., บก.น.5 และ สน.ทองหล่อ เข้าตรวจค้นคอนโดมิเนียมภายในซอยสุขุมวิท 16 ตามหมายค้น ผลการปฏิบัติการจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 คนเป็นชาวจีน พร้อมของกลางสำคัญ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ 4 เครื่องที่ยังเปิดทำงาน โทรศัพท์มือถือราว 60 เครื่อง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก และยาไอซ์พร้อมอุปกรณ์การเสพ
ผู้ต้องหาถูกแจ้งข้อหาหลักคือร่วมกันเป็นอั้งยี่ มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต การจับกุมครั้งนี้มีลักษณะเป็นการปิดล้อมเชิงข่าวกรองหลังหน่วยงานความมั่นคงพบเบาะแสว่ากลุ่มบอสและเครือข่ายบางส่วนหลบหนีจากการกวาดล้างในประเทศกัมพูชาเข้ามากบดานในไทย
ตามคำสั่งของ พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. เจ้าหน้าที่ได้ติดตามสถานการณ์ข่าวกรองอย่างใกล้ชิดจน พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. สืบทราบว่ามีกลุ่มชาวจีนต้องสงสัยลำเลียงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปตั้งในคอนโดดังกล่าว เบื้องต้นตำรวจได้แฝงตัวเป็นช่างอาคารเพื่อล้วงเบาะแสจนพบการตั้งห้องปฏิบัติการและการมั่วสุมเสพยา ก่อนนำกำลังพร้อมหมายค้นเข้าจับกุมแบบสายฟ้าแลบ ทำให้ผู้ต้องหาไม่ทันตั้งตัวและไม่สามารถทำลายพยานหลักฐานในคอมพิวเตอร์ได้
การตรวจสอบภายในวอร์รูมพบคอมพิวเตอร์ที่เปิดใช้งานเป็นศูนย์ควบคุมการเงินของแก๊ง โดยพบเทคนิคใหม่ที่เจ้าหน้าที่เรียกว่า “AI หลอก AI” ที่ทำได้โดยการนำภาพนิ่งของเหยื่อเข้าสู่ระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างคลิปวิดีโอปลอมให้ขยับหน้า กะพริบตา และอ้าปาก จากนั้นนำคลิปนี้ไปใช้ผ่านระบบยืนยันตัวตน (KYC) ของธนาคารและแพลตฟอร์มเงินดิจิทัล เทคนิคดังกล่าวมีความอันตรายสูงเพราะสามารถทำให้ผู้บริสุทธิ์ถูกแอบอ้างเป็นผู้กระทำผิดหรือถูกล็อกบัญชีได้โดยง่าย
เจ้าหน้าที่ยังระบุว่าแก๊งนี้มีเป้าหมายเริ่มต้นเป็นการหลอกลวงเหยื่อชาวจีนด้วยกันเอง ขณะนี้กำลังขยายผลสอบสวนเพื่อยืนยันว่ามีผู้เสียหายเป็นคนไทยหรือไม่ และจะติดตามเส้นทางการเงิน อุปกรณ์ที่ยึดได้ รวมถึงเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับแหล่งปฏิบัติการในกัมพูชา