
ราคาทองคำยังคงทรงตัวอยู่ใกล้ระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากราคาพุ่งแรงก่อนย่อตัวลงมาผันผวนรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี โดยแม้จะย่อตัวลงมา ปีนี้ราคาทองคำยังมีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2522 การปรับขึ้นครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยพร้อมกัน ตั้งแต่การเข้าซื้อทองคำในปริมาณสูงของ ธนาคารกลางทั่วโลก, เงินทุนที่ไหลเข้าสู่ กองทุน ETF ที่อิงราคาทองคำ, ไปจนถึงการกลับมาซื้อทองแท่งและเหรียญของนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แม้ราคาจะปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ปัจจุบัน ทองคำยังคงต่ำกว่าสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 4,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ที่เพิ่งแตะไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนอยู่ราว 9%
แรงหนุนสำคัญของรอบนี้มาจาก ความคาดหวังต่อนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นทั่วโลก หลายประเทศได้เริ่มลดดอกเบี้ยในปีนี้ เช่น ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังคงระมัดระวัง โดยเลือกจะ “รอดูข้อมูล” มากกว่าดำเนินการในทันที ท่าทีดังกล่าวทำให้นักลงทุนทั่วโลกไม่แน่ใจว่าการปรับลดดอกเบี้ยในสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นเมื่อใด
ในทางทฤษฎี ดอกเบี้ยที่ต่ำลงทำให้ทองคำดูมีเสน่ห์มากขึ้น เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนอย่างพันธบัตรหรือเงินฝาก เพราะต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลง ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ ไปจนถึงความกังวลต่อภาระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ยิ่งช่วยหนุนให้ทองคำกลับมาโดดเด่นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า แรงขับเคลื่อนที่ผลักดันราคาทองในรอบนี้อาจเริ่มอ่อนแรงลง เนื่องจากหลายปัจจัยทางเศรษฐกิจเริ่มปรับทิศ เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้น แรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้สินทรัพย์ไร้ผลตอบแทนอย่างทองคำดูด้อยค่าลงเมื่อเทียบกับตราสารหนี้หรือหุ้น
ทิศทางต่อไปจะขึ้นอยู่กับนโยบายการเงินและสถานการณ์โลก การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐในเดือนธันวาคมอาจเป็นจุดชี้ขาด หากมีสัญญาณลดดอกเบี้ยอาจหนุนราคาทองคำให้มีแรงขาขึ้นใหม่ ความตึงเครียดทางการค้า ราคาพลังงานที่พุ่งสูง หรือความกังวลเรื่องหนี้ของสหรัฐก็อาจกระตุ้นความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำและเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง นักลงทุนอาจลดการถือทองคำและหันไปลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองเคลื่อนไหวในกรอบสะสม
นักเศรษฐศาสตร์และนักกลยุทธ์ตลาดจำนวนหนึ่งมองว่า ทองคำอาจแตะเพดานราคาระยะสั้นแล้ว โดยให้เหตุผลว่า สภาวะตลาดโลกเริ่มเปลี่ยนจาก “ความกลัว” กลับไปสู่ “ความมั่นใจ” อีกครั้ง ซึ่งลดแรงซื้อในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
ผู้เชี่ยวชาญหลายรายชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง แม้หลายประเทศจะเริ่มลดดอกเบี้ย แต่การปรับลดเกิดขึ้นอย่างระมัดระวังและจำกัด ขณะเดียวกัน สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เคยตึงเครียด เช่น ความขัดแย้งในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง เริ่มคลี่คลายลง ทำให้ความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์หลบภัยลดลง
นักลงทุนสถาบันบางส่วนจึงเริ่มโยกเงินเข้าสู่ ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High-yield Credit) แทนการถือทองคำ ซึ่งอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์หลายคนมองว่า แม้ทองคำอาจชะลอตัวในระยะสั้น แต่โอกาสของการร่วงแรงแบบ “Crash” มีไม่มาก เพราะฐานความต้องการยังแข็งแกร่งจากฝั่งธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในเอเชียและตะวันออกกลางที่เพิ่มการถือครองทองคำอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อกระจายความเสี่ยงจากค่าเงินและระบบการเงินตะวันตก
ถึงกระนั้น หลายฝ่ายคาดว่า แรงซื้อของธนาคารกลางอาจเริ่มชะลอตัวในปีหน้า หลังจากที่ปี 2567 เป็นหนึ่งในปีที่ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อมากที่สุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งหมายความว่าการไหลเข้าของอุปสงค์ภาครัฐอาจลดลงเล็กน้อย ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มพักฐานในช่วงต้นปี 2569
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ราคาทองคำจะยังทรงตัวเหนือระดับเฉลี่ยของปี 2566 ไปอีกหลายปี เนื่องจากมีแรงหนุนเชิงโครงสร้างจากความต้องการลงทุนระยะยาว ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงิน และหนี้สาธารณะโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง
เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทองคำเผชิญแรงเทขายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ โดยราคาดิ่งลงแรงในวันเดียวมากกว่า 3% ทำให้ตลาดทั่วโลกเกิดความตื่นตัว แต่หลังจากนั้นราคาทองกลับดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และปิดเดือนด้วยผลบวกกว่า 5% ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นสัญญาณของ “ความยืดหยุ่นที่โดดเด่น”
หลายสำนักวิเคราะห์ระบุว่า การปรับฐานดังกล่าวเป็นเพียง “การพักหายใจเพื่อสร้างสมดุล” (Healthy Breather) หลังจากราคาพุ่งขึ้นติดต่อกันหลายเดือน และช่วยให้ตลาดคลายความร้อนแรงก่อนเริ่มรอบขาขึ้นใหม่
การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐเป็นอีกปัจจัยกดดันสำคัญ เนื่องจากทองคำซื้อขายในสกุลดอลลาร์ ทำให้ราคาทองในสายตาของผู้ซื้อต่างประเทศแพงขึ้น ส่งผลให้แรงซื้อชะลอลงชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ปริมาณการถือครองทองคำใน ETF ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยอดขายทองแท่ง-เหรียญในภาคค้าปลีกยังอยู่ในระดับสูง แสดงว่านักลงทุนระยะยาวยังมีความเชื่อมั่นต่อทองคำ
แม้ราคาทองจะผันผวน แต่ธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่หลายรายยังคงมีมุมมองเชิงบวกในระยะกลางถึงยาว
ขณะที่ HSBC ประเมินในมุมระมัดระวังมากกว่า โดยคาดว่าทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบ 3,700-4,050 ดอลลาร์ในปี 2568 และ 3,600-4,400 ดอลลาร์ในปี 2569 พร้อมคาดว่าราคาจะปิดปี 2568 ที่ราว 3,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และลดลงเล็กน้อยสู่ 3,800 ดอลลาร์ในสิ้นปี 2569 โดยให้เหตุผลว่าธนาคารกลางอาจลดการซื้อทองคำลง ขณะที่เหมืองทองทั่วโลกเพิ่มปริมาณการผลิต และความต้องการทองในอุตสาหกรรมเครื่องประดับชะลอตัว
HSBC ระบุชัดว่า “แรงซื้อจากภาครัฐเป็นรากฐานของการปรับขึ้นในรอบนี้” แต่เตือนว่า “ราคาที่สูงเกินไปอาจเริ่มกัดกร่อนความต้องการจริงในตลาด” ถึงกระนั้น นักลงทุนจำนวนมากยังคงถือทองคำในฐานะ “เครื่องประกันพอร์ตลงทุน (Portfolio Insurance)” ต่อความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ หนี้สิน และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
ทิศทางต่อไปของราคาทองคำขึ้นอยู่กับ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และพัฒนาการเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก การประชุม Fed เดือนธันวาคม ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หาก Fed ส่งสัญญาณเริ่มลดดอกเบี้ยในปี 2569 ทองคำอาจได้แรงหนุนรอบใหม่ทันที
นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอก เช่น ความตึงเครียดทางการค้า, การปรับขึ้นของ ราคาพลังงาน, หรือความกังวลเรื่อง เพดานหนี้และงบประมาณของสหรัฐฯ ก็มีศักยภาพที่จะดันราคาทองให้สูงขึ้นอีกครั้ง ในทางตรงกันข้าม หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำและเศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างมั่นคง นักลงทุนอาจลดการถือครองทองคำและหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ทำให้ราคาทองอยู่ในช่วง “พักฐานสะสมพลัง”
โดยสรุป ทองคำยังคงอยู่ในสมดุลที่ละเอียดอ่อน ระหว่างความหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกกับความระมัดระวังต่อความเสี่ยงข้างหน้า แม้ผ่านรอบวัฏจักรตลาดมากว่า 45 ปี ทองคำยังคงรักษาสถานะของตนในฐานะหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในโลกการเงิน และเป็นสัญลักษณ์ของ “คุณค่าและความปลอดภัย” ที่ยังไม่เสื่อมคลาย