Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เฟดหั่นดอกเบี้ย 0.25% ดันดอลลาร์แข็ง-บาทอ่อน ปีนี้จ่อลดอีก 2 ครั้ง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เฟดหั่นดอกเบี้ย 0.25% ดันดอลลาร์แข็ง-บาทอ่อน ปีนี้จ่อลดอีก 2 ครั้ง

18 ก.ย. 68
12:23 น.
แชร์

ค่าเงินบาทเช้าวันที่ 18 กันยายน 2568 เปิดตลาดที่ระดับ 31.80 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าจากวันก่อนหน้าซึ่งปิดที่ 31.73 บาทต่อดอลลาร์ โดยฝ่ายวิจัยตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหววันนี้ไว้ที่ 31.75-31.90 บาทต่อดอลลาร์ การอ่อนค่าครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือในช่วง 4.00-4.25% เมื่อวันที่ 17 กันยายน นับเป็นการปรับลดครั้งแรกตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อน และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด

เฟดให้เหตุผลว่าการปรับลดครั้งนี้เป็น “การบริหารความเสี่ยง” เพื่อตอบสนองต่อสัญญาณอ่อนแรงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงานใหม่ที่ชะลอตัวใกล้ภาวะหยุดนิ่ง ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยที่ลดลง รวมถึงอัตราการว่างงานในกลุ่มคนผิวดำและคนหนุ่มสาวที่เพิ่มสูงขึ้น

เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ย้ำว่าปัจจุบันการจ้างงานเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในใจของผู้กำหนดนโยบาย พร้อมเตือนว่าหากธุรกิจยังคงชะลอการจ้างงาน การเลิกจ้างเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้อัตราการว่างงานพุ่งขึ้นรวดเร็วเกินควบคุม ดังนั้น เฟดจึงตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพื่อป้องกันไม่ให้ตลาดแรงงานทรุดตัวลงไปมากกว่านี้ แม้จะยังต้องเฝ้าระวังแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่คาดว่าจะทรงตัวระดับ 3% สูงกว่าเป้าหมาย 2% ไปจนถึงอย่างน้อยปี 2569

อย่างไรก็ดี แม้การลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นไปตามความคาดหมาย แต่ถ้อยแถลงของพาวเวลล์กลับถูกตีความว่ามีน้ำเสียง “เข้มงวด” (hawkish) เนื่องจากไม่ได้ให้คำมั่นถึงการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยยืนยันเพียงว่าทุกการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับข้อมูลและการประชุมในแต่ละครั้ง ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในวงกว้าง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวสูงขึ้น ราคาทองคำถูกกดดันให้อ่อนลง และสกุลเงินในเอเชีย รวมถึงเงินบาท อ่อนค่าตามแรงกดดันจากดอลลาร์

การเมืองเดือด-เสียงค้านจาก “มิแรน”

นอกจากแรงกดดันจากตลาดแรงงานแล้ว เบื้องหลังการประชุมเฟดในครั้งนี้ยังมีแรงกดดันทางการเมืองที่ชัดเจน โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงท่าทีต้องการให้เฟดปรับลดดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง และต้องการให้ลดแรงกว่าที่ประกาศ โดยเพิ่งแต่งตั้งสตีเฟน มิแรน อดีตหัวหน้าสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาว เข้าสู่บอร์ดเฟดเพียงวันเดียวก่อนการประชุม

มิแรนซึ่งสาบานตนเมื่อวันที่ 16 กันยายน กลายเป็นเสียงคัดค้านเพียงคนเดียว โดยเสนอให้ปรับลดดอกเบี้ยทันทีครึ่งเปอร์เซ็นต์ และส่ง dot plot ส่วนตัวที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยสิ้นปีจะต่ำกว่า 3% ซึ่งถือว่าต่ำผิดปกติเมื่อเทียบกับกรรมการส่วนใหญ่

แม้ตำแหน่งของมิแรนจะเป็นเพียงการแต่งตั้งชั่วคราวที่จะสิ้นสุดในเดือนมกราคมปีหน้า แต่การเคลื่อนไหวของเขาสร้างแรงสะเทือนต่อความเป็นอิสระของเฟด และถูกจับตาว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของทรัมป์ในการกดดันคณะกรรมการนโยบายการเงิน ขณะเดียวกันทรัมป์ยังพยายามปลดผู้ว่าการลิซา คุก เพื่อเปิดทางแต่งตั้งบุคคลใหม่ แม้ท้ายที่สุดศาลสองแห่งมีคำตัดสินยืนยันสิทธิของเธอให้คงตำแหน่งและเข้าร่วมประชุมได้ ซึ่งเธอก็ลงคะแนนสนับสนุนการลดดอกเบี้ย 0.25% ตามมติส่วนใหญ่

เพื่อยืนยันจุดยืนของเฟด พาวเวลล์ย้ำในงานแถลงข่าวดอกเบี้ยว่า เฟดจะทำงานบนฐานข้อมูลเศรษฐกิจ ไม่ใช่แรงกดดันจากการเมือง พร้อมยืนยันว่าเฟดไม่มีฉันทามติสนับสนุนการดอกเบี้ย 50 จุดตามข้อเสนอของมิแรน ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปก็ส่งสัญญาณว่าพร้อมจะปรับเปลี่ยนนโยบายหากเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง แม้ระดับดอกเบี้ยในปัจจุบันยังถือว่าเหมาะสมแล้วก็ตาม

ตลาดแรงงานเหนือเงินเฟ้อ-แรงสะเทือนเอเชียและเงินบาท

Dot Plot ล่าสุดของเฟดระบุว่าปีนี้จะปรับลดอีกสองครั้ง รวมเป็นการลด 0.75% ก่อนจะลดเพียงปีละหนึ่งครั้งในปี 2569 และ 2570 ทำให้เส้นทางรวมอยู่ที่ 3-1-1 ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดเคยประเมินไว้ที่ 3-3-0 และสะท้อนว่าระดับดอกเบี้ยสิ้นปีจะต่ำกว่าที่เฟดเคยสื่อสารไว้ในเดือนมิถุนายนราว 0.25% แม้เฟดยังคงคาดเงินเฟ้อสิ้นปีที่ 3% และอัตราว่างงานที่ 4.5% แต่เจ้าหน้าที่เลือกให้น้ำหนักกับการรักษาตลาดแรงงานมากกว่า พร้อมปรับประมาณการ GDP ขึ้นจาก 1.4% เป็น 1.6%

ตลาดการเงินตอบสนองทันทีต่อแนวโน้มดังกล่าว ดัชนีหุ้นสหรัฐผันผวนก่อนปิดแบบผสมผสาน ผลตอบแทนพันธบัตรแทบไม่เปลี่ยนแปลง แต่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับตะกร้าเงินหลักและกดดันค่าเงินเอเชียทั้งหมด โดย Brendan McKenna จาก Wells Fargo ระบุว่าความแข็งแกร่งของดอลลาร์หลังการประชุม FOMC เป็นแรงกดดันสกุลเงินเอเชีย โดยเฉพาะวอนเกาหลีใต้ รูเปียห์อินโดนีเซีย และเปโซฟิลิปปินส์ที่เปราะบางต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย

ด้าน Sumitomo Mitsui Trust Bank ชี้ว่าดอลลาร์อาจแข็งถึง 147 เยน แม้จะมีข้อจำกัดด้าน upside ขณะที่ TD Securities ยังคงมุมมองเชิงลบต่อดอลลาร์ โดยเห็นว่าการดีดตัวเป็นเพียงโอกาสขาย และบรรยากาศ risk-on จะช่วยหนุนเยนญี่ปุ่นและดอลลาร์ออสเตรเลียให้แข็งค่าได้

Nick Twidale จาก AT Global Markets เสริมว่าเอเชียจะเคลื่อนไหวตามฝั่งสหรัฐ ไม่ได้รุนแรงนัก แต่ควรระวังแรงขายทำกำไรในหุ้นเทคโนโลยี ส่วน Anna Wu จาก VanEck Associates มองว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ตลาดรับรู้ล่วงหน้ามาตั้งแต่เดือนมิถุนายนแล้ว จึงไม่กระทบชัดเจนต่อหุ้นญี่ปุ่นหรือนโยบายของ BOJ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจริงคือการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ขณะที่ ANZ Group เห็นว่าผลตอบแทนพันธบัตรนิวซีแลนด์มีแนวโน้มชันขึ้นตามทิศทางบอนด์สหรัฐ หากตัวเลข GDP ออกมาดีกว่าคาด

สำหรับประเทศไทย ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันให้อ่อนค่าต่อเนื่อง โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 31.85 บาทต่อดอลลาร์ หากหลุดระดับ 32.00 บาทก็มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่ารอบใหม่ นักลงทุนต่างชาติเริ่มสะสมสถานะ short THB มากขึ้น สะท้อนความเชื่อว่าแรงกดดันจากเฟดและกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ยังไม่จบ อย่างไรก็ดี ข่าวบวกคือทริสเรทติ้งได้ปรับประมาณการ GDP ไทยปีนี้จาก 1.8% ขึ้นเป็น 2.1% มองว่าการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศจะช่วยหนุนเศรษฐกิจ แม้ค่าเงินบาทที่ผันผวนจะยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน

แชร์
เฟดหั่นดอกเบี้ย 0.25% ดันดอลลาร์แข็ง-บาทอ่อน ปีนี้จ่อลดอีก 2 ครั้ง