ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี และแข็งค่าที่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย โดย ณ วันที่ 9 กันยายน 2568 อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท (THB) ต่อดอลลาร์สหรัฐ (USD) เปิดตลาดที่ 31.68 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ในเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา (นับถึง 9 กันยายน) เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นแล้ว 2.19% และนับจากต้นปีแข็งค่าขึ้นแล้ว 7.93% ซึ่งเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจหลักๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งเมื่อเทียบในช่วงเวลา 1 เดือน และเทียบช่วงเวลานับจากต้นปีจนถึงวันนี้ (YTD)
โดยความเคลื่อนไหวอัตราการเปลี่ยนแปลงของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียเป็นดังนี้
หนึ่งสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทและค่าเงินสกุลอื่นๆ เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้น คือ การที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง โดยล่าสุด ณ วันที่ 9 กันยายน 2568 ดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) หรือ DXY) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก 6 สกุล ได้แก่ ยูโร (EUR), เยน (JPY), ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP), ดอลลาร์แคนาดา (CAD), โครนาสวีเดน (SEK), และฟรังก์สวิส (CHF) อ่อนค่าลงไปแล้ว 10.25%
อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯไม่ได้ส่งผลต่อสกุลเงินต่างๆ ในระดับเท่าๆ กัน เพราะแต่ละสกุลเงินของแต่ละประเทศก็มีปัจจัยเฉพาะตัวของตัวเอง
สำหรับการแข็งค่าของสกุลเงินบาทซึ่งแข็งค่าอย่างแรงและเร็วกว่าสกุลเงินของประเทศอื่นๆ ในเอเชียนั้น นอกจากเป็นผลมาจาก 3 ปัจจัยที่เกิดขึ้นร่วมกัน คือ
1. การที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง เนื่องเผชิญแรงขายท่ามกลางการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 16-17 กันยายนนี้
2. เงินบาทแข็งค่าตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ เนื่องจากการออม/การลงทุนในทองคำของคนไทยที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ทิศทางของเงินบาทในบางช่วงได้รับผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะ ซึ่งก็คือการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก
โดยเงินบาทมักจะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้น เพราะเมื่อราคาทองสูงขึ้นจะกระตุ้นแรงขายทองคำของคนไทยและร้านค้าทอง ซึ่งทำให้มีแรงขายเงินดอลลาร์ฯเพื่อแลกกลับเป็นเงินบาทตามมา และจากความเคลื่อนไหวที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างสูงระหว่างเงินบาทกับทองคำ ทำให้ในช่วงนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่าสกุลเงินเอเชียอื่นๆ
3. เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย เป็นแรงซื้อสุทธิหุ้นไทยของต่างชาติในช่วงท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลต่อประเด็นทางการเมืองคลายตัวลงบางส่วนหลังการเมืองไทยชัดเจน มีการประชุมสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
เงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไปส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุน ถึงขั้นที่ พิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องออกมาอธิบายถึงสาเหตุและเตือนเมื่อวันที่ 8 กันยายนว่า ในระยะถัดไป ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่ง ธปท. ยังคงติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและเข้าดูแลความผันผวนของค่าเงินเพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
“ธปท.อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการในการลดผลกระทบจากราคาทองคำต่อค่าเงินบาท” และมีการเตือนว่า “ภาคเอกชนควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน”
อ้างอิง : InnovestX, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย [1], ศูนย์วิจัยกสิกรไทย [2]