เข้าสู่ครึ่งปีหลังแล้ว ผมเชื่อว่านักลงทุนจำนวนไม่น้อยยังไม่กล้ากลับเข้ามาลงทุนกันใหม่ เพราะยังหวาดหวั่นกับข่าวร้ายที่ท่วมตลาดในช่วงครึ่งปีแรก จริงๆ ก็ต้องยอมรับว่า โลกการลงทุนยุคใหม่ยากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีข้อมูลข่าวสารเคลื่อนไหวในโซเซียลมีเดียทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากขึ้น นั่นหมายถึงความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนมีสูงขึ้นตามไปด้วย
ขณะที่ความยากของนักลงทุนจริงๆ อยู่ที่การควบคุมอารมณ์ครับ หากคนที่ตื่นตระหนกเทขายหุ้นในช่วงเดือนเมษายนจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ แน่นอนว่า ขาดทุนกว่า 10% แต่หากใครอดทนถืออยู่จนถึงวันนี้ก็จะเห็นกำไรในพอร์ตแล้วล่ะครับ เพราะนับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับขึ้นจากจุดต่ำสุดมากกว่า 20% นับแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกทุกคนว่า The Worst is Over โลกได้ผ่านจุดวิกฤติไปแล้วจากมาตรการภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์กันไปแล้ว เรื่องของตลาดหุ้นจริงๆ สุดท้ายวันที่กลัวที่สุด คือวันที่มีความไม่แน่นอนปกคลุมสูงที่สุด ในช่วงวันที่ 9 เมษายน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงต่ำสุดในรอบปี ติดลบจากต้นปี 2568 ราว 15% แต่เมื่อสถานการณ์ผ่านไป ในเดือนถัดมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมาและสามารถทำ All Time High ได้อีกครั้ง เพราะอะไร และความท้าทายในครึ่งปีหลังมีปัจจัยอะไรที่ต้องติดตามและตลาดจะไปต่อไหวหรือไม่ ภายใต้ความผันผวนควรจัดพอร์ตลงทุนอย่างไรรับ New Landscape โลกการค้า 2 ขั้ว
ในครึ่งปีแรกถือเป็นช่วงที่ทั่วโลกหดหู่กันมากเมื่อเกิด 3 เหตุการณ์ใหญ่ที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลกและความเชื่อมั่นในตลาดการลงทุน
เหตุการณ์แรก สงครามภาษี ตั้งแต่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศวันที่ 2 เมษายน 2568 เป็น Liberation Day และออกมาตรการภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ (Reciprocal Tariffs) ที่เก็บกับประเทศคู่ค้ากว่า 100 ประเทศ และพุ่งเป้าที่ประเทศจีน ทำให้เกิดสงครามภาษีตอบโต้กันไปมาของทั้งคู่สูงถึง 125%-145% เป็นวันที่แย่ที่สุด
นักลงทุนทั่วโลกตื่นตระหนกและเทขายสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ฯ กันจ้าละหวั่น เพราะปกติในวันที่ตลาดหุ้นตกต่ำสุด คือวันที่สงครามยังไม่เกิด แต่พอสงครามเกิด ตลาดก็ปรับตัวขึ้นมา เหมือนกับเหตุการณ์ Liberation Day วันที่แย่ที่สุดวันที่ 9 เมษายน ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวดิ่งลงจากจุดสูงสุดมาสู่จุดต่ำสุดกว่า 20% ในช่วงเวลากว่า 1 เดือน แต่หลังสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนจัดเก็บภาษี 90 วัน สถานการณ์ก็คลี่คลายจนถึงปัจจุบันแม้การเจรจาภาษีฯยังไม่จบก็ตาม
เหตุการณ์สงครามตะวันออกกลาง “อิสราเอล-อิหร่าน” ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันที่ทั่วโลกหวาดหวั่นลุกลาม แต่ ณ ตอนนี้ ก็ดูเหมือนสงครามดังกล่าวจะเงียบหายไปแล้ว ขณะเดียวกันตลาดหุ้นของทั้งสองประเทศนี้ยังปรับตัวขึ้นทำ All Time High
แม้แต่เหตุการณ์ล่าสุด คุณทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีฯ กับกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกอัตรา 30% ปรากฏว่า ตลาดก็ไม่ได้ตื่นตกใจ และเริ่มคิดว่า ในที่สุดประเทศต่างๆ จะสามารถเจรจาตกลงกับสหรัฐฯ ได้และจะชัดเจนในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
เพราะฉะนั้นในครึ่งปีแรกเหตุการณ์ร้ายต่างๆ โดยเฉพาะภาษีฯ สหรัฐฯ ที่ตลาดกังวลก็ผ่านไปราวๆ 3 เดือน ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงกว่า 12% ในระยะเวลาเพียง 4 วันในช่วงที่จีนตอบโต้ภาษีใส่กลับสหรัฐฯ และยังผ่านร่างกฎหมายใหญ่ “One Big Beautiful Bill” ที่จะช่วยหนุนเรื่องการลดภาษีนิติบุคคล เพิ่มเครดิตภาษีบุตร ปรับเกณฑ์สวัสดิการ และเพิ่มเพดานก่อหนี้สาธารณะอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นแรงบวกที่ทำให้นักลงทุนกลับมามีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นมากกว่าเดิมครับ และทำ New All Time High ต่อเนื่อง
แนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่า The Worst is Over จากความกลัวภาษีฯ ทรัมป์ได้จบไปแล้ว เพราะตลาดรับรู้สุดท้ายก็จะเจรจาผ่านไปได้ แต่ก็ยังเผชิญกับความท้าทายอยู่ ซึ่งต้องติดตาม 3 ปัจจัยใหญ่ ได้แก่
ปัจจัยแรก “สงครามการค้า” แม้ตลาดจะเริ่มชินกับคำขู่การขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของคุณทรัมป์ แต่ดัชนี S&P 500 ยังทำ All Time High แต่ถึงแม้ว่าตลาดจะปรับตัวได้ ก็ยังต้องติดตามผลกระทบจากภาษีการค้าใหม่ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ รวมถึงติดตามผลการเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ด้วย แต่เชื่อว่าไม่น่าจะจบแบบรุนแรงเหมือนเดือนเมษายน
อย่างไรก็ตาม ตลาดประเมินว่า สหรัฐฯ จะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดในระยะสั้น เพราะสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ปีละ 3 ล้านล้านดอลลาร์ หากมีการเก็บภาษีฯเฉลี่ย 17% ในปัจจุบบันที่อ้างอิงกัน จะทำให้สหรัฐฯ ได้เงินส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีกราว 4 แสนกว่าล้านดอลลาร์จากการเก็บภาษีในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ จะได้เปรียบในการส่งออกสินค้าไปประเทศต่างๆ อัตราภาษี 0%
สำหรับประเทศต่างๆ ที่เสียประโยชน์ รวมถึงกลุ่มพันธมิตรใหม่ BRIC จะเข้มแข็งกว่าเดิมได้อย่างไรและต้องติดตามว่า แต่ละประเทศจะต้องปรับตัวรับ Landscape เกมการค้าใหม่เป็นอย่างไร และผู้ประกอบการแต่ละบริษัทจะหาวิธีลดต้นทุนการผลิตอย่างไร อาทิ การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการผลิต การลดต้นทุนแรงงาน ซึ่งการปรับตัวต่างๆ ต้องใช้เวลาพอสมควร สุดท้ายแน่นอนว่า ย่อมเห็นการผลักภาระไปยังผู้บริโภคผ่านการปรับขึ้นราคาสินค้า เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลกระทบไปยังกำลังซื้อ
ปัจจัยที่สอง “เงินเฟ้อ” มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังจากผลกระทบสงครามการค้า แม้ว่าล่าสุด อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนมิถุนายน อยู่ที่ 2.7% ก็ตาม ซึ่งขณะนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังเฝ้าติดตามผลของการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ อยู่
โดยตลาดคาดการณ์ว่า การประชุมในรอบเดือนกรกฎาคมนี้ เฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.25%-4.50% และคาดว่า อาจจะเห็นการลดดอกเบี้ยนโยบายเกิดขึ้นอย่างเร็วในเดือนกันยายนนี้ หรืออาจเลื่อนไปเป็นปลายปี 2568 แม้ว่าคุณทรัมป์กำลังกดดัน “เจอโรม พาวเวล” ประธานเฟดเรียกร้องให้ปรับลดดอกเบี้ยมาตลอดก็ตาม เพราะต้องการลดต้นทุนภาระดอกเบี้ยจ่ายของหนี้สาธารณะ ปัจจุบันประธานเฟดยังยืนกรานที่จะรอดูผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีฯ ก่อนจะตัดสินใจต่อนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า
หากถามว่าเงินเฟ้อต้องกลัวแค่ไหน ย้อนประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เคยเกิดวิกฤติเงินเฟ้อสูง โดยสหรัฐฯ เคยมีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 18% ในปี 2489 ช่วงที่เกิด และมาในปี 2517 เงินเฟ้อสูง 12% จากการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และช่วงปีหลังวิกฤติโควิด ในปี 2564 เงินเฟ้อสูง 7% เนื่องจากเฟดกระตุ้นเศรษฐกิจ จริงๆ เศรษฐกิจเติบโตย่อมต้องมีเงินเฟ้อเพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง ขณะที่ ดัชนี S&P 500 ฝ่าวิกฤติเงินเฟ้อมาได้หลายรอบ และในช่วงกว่า 15 ปี (ตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2542- 14 ก.ค. 2568 ) ก็ยังทำผลตอบแทนเป็นบวก 326.65%
ปัจจัยที่สาม สงครามเทคโนโลยี “จีน VS สหรัฐฯ” ที่ยังคงมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นเพื่อครองความเป็นผู้นำด้าน AI ซึ่งส่งผลต่ออนาคตเศรษฐกิจโลก ตัว แม้ว่าเมื่อต้นปีนี้ จีนประกาศความสำเร็จ DeepSeek พัฒนา AI ที่มีต้นทุนถูกทำให้สามารถให้บริการราคาถูกได้ แต่สหรัฐฯ ยังมีแต้มต่อด้านพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ทั่วโลกเลือกใช้มากกว่า แม้ว่าราคาค่าบริการจะแพงกว่าก็ตาม เนื่องจากคนใช้มีความเชื่อมั่นมากกว่าและรวมถึงการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารทำให้ผู้ใช้มีความเข้าใจมากกว่า แม้จะต้องจ่ายราคาค่าบริการแพงกว่าของจีนก็ตาม และเชื่อว่า สหรัฐฯ ยังเป็นผู้นำได้อีกอย่างน้อย 10 ปีข้างหน้า
สงครามเทคโนโลยียังคงต้องต่อสู้กันดุเดือดต่อไป เพราะสหรัฐฯ มองว่า New S-Curve ของประเทศ คือ การส่งออกเทคโนโลยี AI ซึ่งสหรัฐฯ ทำทุกวิถีทางในการบล็อกจีนไม่ให้เข้ามาแข่งด้าน AI นี้ได้ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ยอมปล่อยให้จีนเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดงบประมาณที่สนับสนุนด้านที่เกี่ยวกับรถ EV กับบริษัทค่ายรถอเมริกาด้วย
ในโลกที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ยิ่งโลกจะแบ่งขั้วกันอย่างไรในอนาคต ไม่มีใครคาดเดาได้ และอีกอย่างที่ผมเห็นโลกการลงทุนเปลี่ยนไป คือ ปัจจุบัน ข้อมูลข่าวสารเข้ามาเรวดร็วมากผ่านโซเซียลต่างๆ ทำให้ข่าวสารๆ มากมายประดังเข้ามาเหมือนโลกจะล่มสลาย ยิ่งกดดันอารมณ์การลงทุนและความเชื่อมั่นหดหายลงจนกลายเป็นความรู้สึกหดหู่และเครียด ตัวผมที่เคยชินกับข่าวร้ายมามากมาย ในวันที่เจอข่าวต่างๆ ถาโถมเข้ามาในช่วง Liberation Day เดือนเมษายนก็รู้สึกเครียดเช่นกันครับ
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องตลาดขึ้นหรือลงเป็นเรื่องปกติของวัฏจักรครับ แม้โลกการลงทุนจะยากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านบริบทใหม่ของโลกที่ไม่แน่นอน และด้านการควบคุมอารมณ์ นักลงทุนจำเป็นต้องยึดหลักคิดในการลงทุนที่ถูกต้องไว้เพื่อให้พร้อมเผชิญกับความไม่แน่นอนในอนาคต นั่นคือ การกระจายความเสี่ยงการลงทุน (Diversification) ให้พอร์ต คือ กุญแจที่สำคัญครับ
ผมขอฉายภาพข้อมูลตลาดหุ้นย้อนหลัง 10 ปีของ 6 ตลาด (สหรัฐฯ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไทยและเวียดนาม) พบว่า ตลาดหุ้นมีวัฏจักรขึ้นๆ ลงๆ โดยไม่มีตลาดไหนขึ้นหรือลงตลอด และยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวแตกต่างกันไป โดยเฉลี่ยของดัชนี S&P อยู่ที่ปีละ 13.10% จีน 3.43% ฮ่องกง 2.13% ญี่ปุ่น 9.45% SET TRI ทำได้ 2.46% ส่วนเวียดนาม 11.19%
จริงๆ ตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้แย่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถือว่าทำได้มากกว่าตลาดฮ่องกงด้วยซ้ำ ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกง มีช่วงที่ร่วงลงหนัก 4 ปีติดต่อกัน และเพิ่งปรับตัวขึ้นมาแรงในปีที่แล้ว 22% และปีนี้ขึ้นมาอีก 10%
ผมต้องการชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นเป็นวัฏจักร ถ้าเราจับวัฏจักรได้ดี ก็สามารถลงทุนได้ การลงทุนกระจายในหลายๆ ตลาดหุ้นจะช่วยให้พอร์ตของคุณยังมีกันชนรองรับหากปีใดที่ตลาดหุ้นนึงลงก็ยังมีตลาดหุ้นอื่นๆ ในพอร์ตคอยค้ำไว้
วิธีกระจายลงทุนที่สร้างผลตอบแทนและควบคุมความเสี่ยงใด้ดี ผมแนะนำให้นักลงทุนไทยมาหลายปีแล้ว นั่นก็คือ หลักการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite โดย Core Port จะเป็นพอร์ตหลักที่เน้นลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกไม่ว่าหุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ จะช่วยกระจายความเสี่ยงได้อย่างครอบคลุม เน้นสร้างผลตอบแทนในระยะยาว สร้างความมั่นคงและทำให้คุณสบายใจได้ในทุกสถานการณ์
ส่วน Satellite Port หรือพอร์ตรอง ที่เสริมการลงทุนแบบมุ่งเน้นผลตอบแทนที่สูงด้วยวิธีการที่เสี่ยงมากขึ้น ลงทุนในรายประเทศหรือรายธุรกิจรายหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูง อาจจะเป็นทรัพย์สินทางเลือกอย่างเช่น ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ คริปโทเคอร์เรนซี เป็นต้น
การกำหนดสัดส่วนลงทุนที่ปลอดภัยของพอร์ตหลักอยู่ที่ 80 และพอร์ตรอง 20% เพราะพอร์ตรองลงทุนแบบมุ่งเน้นอย่างตลาดหุ้นพุ่งแรงๆ จะมีความผันผวนสูง การจำกัดพอร์ตรองแค่ 20% เพื่อช่วยควบคุมความเสี่ยงหากเกิดการลงทุนผิดพลาดหรือวิกฤติใดๆ กระทบพอร์ตรองขาดทุน แต่คุณยังมีพอร์ตหลักที่ลงทุนกระจายทั่วโลกคอยสร้างผลตอบแทนเรื่อยๆ เป็นตัวพยุงพอร์ตรวมของคุณยังเติบโตต่อไปได้ในระยะยาว
ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ พอร์ต Global ETF ที่ Jitta Wealth บริหาร จะเน้นลงทุนกระจายทั่วโลกทั้งหุ้นและพันธบัตร 80% ในระยะยาว ทำผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 4-8% หากพอร์ตรองที่คุณลงทุนเสียหายหมด 20% คุณยังมีพอร์ตหลักที่ทำผลตอบแทนได้ 8% ใช้เวลา 3 ปี จะช่วยทำผลตอบแทนจะกลับมาทำให้พอร์ตรวมเท่าเดิมแล้ว
จริงๆ ยุคสมัยที่ตลาดหุ้นไทยเติบโตได้ดี นักลงทุนไทยส่วนใหญ่จะใส่เงินกระจุกในตลาดหุ้นไทย เพราะไม่กล้าออกไปลงทุนในต่างประเทศ จึงยังไม่ค่อยมีการกระจายความเสี่ยงให้พอร์ลงทุน และเงินลงทุนกระจุกอยู่ในพอร์ตรองค่อนข้างเยอะ ส่วนพอร์ตหลักก็ไม่ได้จัด เมื่อตลาดหุ้นไทยเกิดวิกฤติหรือปรับตัวแรงๆ ทำให้คนไทยขาดทุนกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อโลกมีเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในมิติต่างๆ จนเติบโตเร็วขึ้นรวมถึงตลาดหุ้นโดยเฉพาะสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนไทยเริ่มรู้จักการกระจายความเสี่ยงออกไปลงทุนต่างประเทศกันมากขึ้น และจัดพอร์ต Core & Satellite
ผมย้ำกับนักลงทุนตลอดว่า คุณต้องมีพอร์ตหลักก่อน ให้เฉลี่ยเงินลงทุนทุกตลาดที่สำคัญของโลกไปพร้อมๆ กัน และไม่ต้องจับจังหวะตลาดหุ้นใดๆ อาจจะใช้วิธีลงทุนแบบ DCA ด้วย จะยิ่งช่วยลดความผันผวนระหว่างทางด้วย เมื่อคุณสร้างพอร์ตหลักได้แล้ว จึงมาสร้างพอร์ตรอง เน้นลงทุนในตลาดไหนที่จะพุ่งขึ้นมากๆ ซึ่งก็คือ ตลาดที่ตกลงมาหนักๆ จะมีโอกาสกลับมาขึ้นเยอะ ส่วนตลาดไหนที่ขึ้นมามากแล้วก็ควรจะหลีกเลี่ยงลงทุน ซึ่งมีข้อสังเกตหลักๆ ดูว่าเมื่อไหร่ที่ตลาดปรับตัวขึ้นเร็วๆ 50-60% จะเป็นสัญญาณตลาดนั้นอาจจะเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวลงได้ ยกตัวอย่าง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นมา 50% ในช่วง 2 ปีแล้ว หากตลาดยังมีปรับขึ้นมาอีก 20% เท่ากับปรับขึ้นมาถึง 70-80% ถือว่าจะเข้าภาวะเสี่ยงมากแล้วครับ
โลกปัจจุบันมีการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์การลงทุนและคาดการณ์ได้ จะยิ่งช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนในตลาดต่างๆ ได้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน เช่นเดียวกับที่
ทาง Jitta Wealth ได้ใช้ AI วิเคราะห์ตลาดหุ้นที่น่าสนใจ โดยทำคาดการณ์ Market Prediction แบบรายปีออกมา เพราะต้องการเป็นตัวช่วยนักลงทุนในการเลือกตลาดที่น่าสนใจลงทุนได้ง่ายขึ้น
Market Prediction ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ณ วันที่ 11 ก.ค.) ที่ AI ของ Jitta Wealth ประเมินจาก หุ้น 50 อันดับแรกที่ดีที่สุดของตลาดนี้ มีอัตราส่วนของจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง ลดลงมาอยู่ที่ 0.61 เท่า จากสิ้นปีก่อนที่มี 0.72 เท่า สะท้อนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เวลานี้อาจจะแพงไปแล้ว ขณะที่วันที่หุ้นโลกตกต่ำสุด (8 เม.ย.) มีหุ้นถูกต่อหุ้นแพง สูงถึง 1.63 เท่า ซึ่งหากใครที่เข้าลงทุนในช่วงเดือนเมษายน มาถึงตอนนี้ก็มีกำไรกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เสียงแตกหุ้นสหรัฐฯ จะไปต่อไหวหรือไม่ โดย Goldman Sachs มองว่า ปัจจุบันดัชนี S&P 500 ซื้อขายในราคาที่ใกล้เคียงกับมูลค่าที่เหมาะสม พร้อมคาดการณ์ว่า การประเมินมูลค่าจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ส่วน Morgan Stanley ยังคงมุมมองบวกต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ส่วนผมมองว่า หากในปลายปีนี้ เฟดปรับลดดอกเบี้ย จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้น และเม็ดเงินจากตลาดเงินที่นักลงทุนเข้าไปพักเงินไว้มากถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมจะกลับเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งคุณปู่ Warren Buffett ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถือเงินสดไว้มากถึง 50%ของพอร์ตที่รอจังหวะลงทุนเช่นกัน
ตลาดหุ้นจีน มีอัตราส่วนของจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15.6 เท่าจากสิ้นปีก่อนที่มีเพียง 9 เท่า ซึ่งเรียกว่า หุ้นจีนถูกแล้วถูกอีก ซึ่ง ณ ปัจจุบัน AI ของ Jitta Wealth ชี้ให้เห็นโอกาสในตลาดหุ้นจีนมาโดยตลอด และเวลานี้ยิ่งตอกย้ำความแม่นยำได้จากผลตอบแทนที่ชัดเจน จีนในเวลานี้ถือว่ายังมีความแข็งแกร่ง มีจุดยืนที่มั่นคงในเวทีโลกเห็นได้จากการตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ แม้ในภาพรวมของภาคประชาชนจะแสดงให้เห็นถึงการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง โดย GDP จีนเติบโตอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5.5% (ในช่วงปี 2564-2567) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 2% ส่วนในระยะยาวยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ถูกขับเคลื่อนจากเทคโนโลยี AI
ตลาดหุ้นฮ่องกงมีอัตราส่วนของจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง ลดลงมาอยู่ที่ 2.33 เท่าจากสิ้นปีก่อนที่อยู่ 4.56 เท่า ส่วนวันที่หุ้นโลกตกต่ำสุด (8 เม.ย.) มีหุ้นถูกต่อหุ้นแพง สูงถึง 15.67 เท่า โดยตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นตลาดที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนหุ้นจีนมากกว่าไปลงทุนในแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากเป็นตลาดที่ต่างชาติไหลเข้าออกง่ายกว่าตลาดจีน และปีที่ผ่านมา ตลาดปรับตัวขึ้นแรงเนื่องจากเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ แต่หากมองโครงสร้างในระยะยาวแล้วในอนาคต ผมเชื่อว่าอย่างไรก็ต้องเห็นการโยกเม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีอัตราส่วนของจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง อยู่ที่ 1.78 เท่าจากสิ้นปีก่อนที่มีเพียง 1.78 เท่า ขณะที่วันที่หุ้นโลกตกต่ำสุด (8 เม.ย.) มีหุ้นถูกต่อหุ้นแพง สูงถึง 5.25 เท่า
ตลาดหุ้นเวียดนามมีอัตราส่วนของจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง ลดลงมาอยู่ที่ 1 เท่าจากสิ้นปีก่อนที่มี 1.08 เท่า ขณะที่วันที่หุ้นโลกตกต่ำสุด (8 เม.ย.) มีหุ้นถูกต่อหุ้นแพง สูงถึง 2.57 เท่า
ส่วนตลาดหุ้นไทย อัตราส่วนของจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง อยู่ที่ 15.6 เท่าจากสิ้นปีก่อนที่มีเพียง 7.3 เท่า ขณะที่วันที่หุ้นโลกตกต่ำสุด (8 เม.ย.) มีหุ้นถูกต่อหุ้นแพง สูงถึง 24 เท่า
สำหรับการจัดพอร์ตหลัก ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดหุ้นใหญ่ของโลก จะเน้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น แต่ล่าสุด ทาง JPMorgan Chase & Co.) คาดการณ์ว่า แนวโน้มขาขึ้นของดัชนี S&P 500 อาจถูกกดดันจากการที่สหรัฐฯ เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูง แต่เศรษฐกิจกลับชะลอตัว ที่เรียกว่า Stagflation ซึ่งในเดือนพฤษภาคม ดัชนี S&P 500 ขึ้นอีก 6.2% ขณะที่ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 9.6% แต่ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ค้าโลกที่ยังคงไม่แน่นอน และยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูง จะวนเวียนเป็นปัจจัยกดดันตลาดอยู่ ซึ่งปัจจัยลบเหล่านี้ จะสกัดขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ซึ่งหากคุณมีสัดส่วนในหุ้นสหรัฐฯ มากเกินไป แนะนำให้ Rebalance ด้วยการขายออกให้สัดส่วนลดลงมาเท่าเดิม และนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินที่มีโอกาสทำกำไรแทน
สำหรับพอร์ตรอง แนะนำว่า ควรเลือกลงทุนเพียง 1-2 ตลาดหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงดีกว่า ล่าสุด เจพีมอร์แกนฯ ให้น้ำหนักกับตลาดเกิดใหม่และหุ้นเทคโนโลยีจีนด้วย ผมมองว่า ปีนี้เป็นโอกาสทะยอยลงทุนที่ดี โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่คาดว่ายังเติบโตได้ดี ทั้งจากปัจจัยระยะสั้น รัฐบาลจีนยังมีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในประเทศและการดูแลภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ด้านวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่แก้ไขอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ และความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น คุณทรัมป์ที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะออกนโยบายใดมาสกัดกั้นการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนและประเทศที่เกี่ยวข้องในระยะข้างหน้าหรือไม่
สำหรับตลาดหุ้นไทย แม้อยู่ในโซนที่ราคาถูกเทียบเท่ากับตลาดหุ้นจีน แต่สัญญาณจุดฟื้นตัวยังไม่ชัดเจนทั้งในแง่ของการเติบโตของเศรษฐกิจ และความสามารถทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย รวมทั้งความเสี่ยงจากเสถียรภาพการเมืองในประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาจะเป็นการพักเงินระยะสั้นมากกว่า ตลาดขาดปัจจัยขับเคลื่อนดัชนี และทำให้ตลาดมี upside ขึ้นจำกัด หากต้องการลงทุนหุ้นไทยแนะนำเป็นหุ้นรายตัวที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอและควรอยู่ระดับ 5-7%
อย่างไรก็ตาม เพราะตลาดมีวัฏจักรขาขึ้นและขาลงเสมอ เป็นเช่นนี้ทุกปียกเว้นปี 2561 ที่ตลาดทั่วโลกตกลงทุกตลาด ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้เหมือนกัน โดยในช่วง 10 ปีอาจเกิดขึ้น 1- 2 ครั้ง ดังนั้น ผมแนะนำกลยุทธ์ลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ DCA ทั้งสองพอร์ต ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่มีเงินออมพร้อมลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพราะการ DCA จะช่วยให้คุณมีต้นทุนที่ถัวเฉลี่ยดีกว่าซื้อแบบจับจังหวะตลาด
ผมมีข้อคิดของ คุณปู่ Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนานโลกบอกว่า อย่าไปคาดเดาตลาด เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าจะเกิดอะไรขึ้น แต่แนะนำให้สร้างเรือให้แข็งแกร่งเพื่อทนทานต่อพายุที่พัดเข้ามา
วันนี้โลกกำลังเข้าสู่เกมการค้า New World Order ทุกประเทศได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ เหมือนกัน และเวลานี้ระบบเศรษฐกิจโลกยังถูกขับเคลื่อนไปตามการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งในระยะเวลาอีก 10 ปีข้างหน้า ยังไม่มีใครตอบได้ว่าสหรัฐฯ หรือจีน ใครจะขึ้นเบอร์หนึ่งของโลก แต่ที่แน่ๆ เราจะเห็นการเติบโตของทั้ง 2 ประเทศนี้ครองโลกกันต่อไป
ผมย้ำว่า การสร้างพอร์ตให้แข็งแกร่ง ก็คือ “การกระจายลงทุน” อย่างที่ผมได้บอกแต่ต้นครับ เพราะไม่มีใครคาดล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดวิกฤติหรือเกิดอะไรขึ้น แต่การกระจายลงทุนไปทั่วโลก จะช่วยลดความผันผวนให้ได้ และยิ่ง DCA ด้วย คุณจะเป็นผู้ชนะตัวจริงครับ
คุณจำเป็นต้องดูพอร์ตลงทุนว่า กระจายลงทุนลดความเสี่ยงเพียงพอหรือยัง และได้มีการจัดพอร์ตหลักพอร์ตรองหรือไม่ หากลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ไว้อยู่แล้ว แนะนำให้นำสินทรัพย์มากางตรวจสอบดูคุณภาพและจัดพอร์ตตามหลักการข้างต้นครับ รวมทั้งดูว่าพอร์ตควรลงทุนสินทรัพย์ใดเพิ่มหรือไม่ เพื่อให้พอร์ตเติบโตต่อไปได้ ซึ่งคุณสามารถขอคำแนะนำที่ปรึกษาการลงทุนที่คุณเป็นลูกค้าบริษัทนั้น หรือจะติดต่อมาที่ทีมงานของ Jitta ให้บริการได้ครับ
"คุณไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่คุณสามารถเตรียมตัวให้พร้อมได้" - นักลงทุนระดับตำนาน “Howard Marks” ผู้ร่วมก่อตั้ง Oaktree Capital Management ที่มักพูดถึงเรื่องของวัฏจักร ความเสี่ยง และการควบคุมอารมณ์ในการลงทุน
หากคุณอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ สร้างพอร์ตเติบโตอย่างมั่นคงทนทานทุกสภาวะ ขอให้คุณเตรียมใจ เตรียมกาย และก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ เริ่ม!! ตั้งแต่วันนี้ครับ
แม้โลกจะมีความไม่แน่นอนสูง อย่าลืมว่า “ในวิกฤติมีโอกาส” และคุณเป็น “ผู้เลือก” ถ้าจะลงทุนในตลาดหุ้น ควรเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดกำลังขาลง และถ้าจัดพอร์ตได้ถูกหลักการ ก็จะยิ่งสามารถเอาชนะตลาดได้ง่ายขึ้นครับ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด